วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

๋Jack Ma Speech








หลายคนบอกว่า ปัญหาที่โลกเผชิญอย่างทุกวันนี้เป็นเพราะ กระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมว่า เป็นเพราะ โลกาภิวัฒน์ ยังเดินไปไม่ถึงจุดสมบูรณ์ต่างหาก เพราะไม่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็กๆ ได้มีสิทธิ์มีส่วนร่วม

ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โลกาภิวัฒน์ เกิดขึ้น ก็เพื่อบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศพัฒนาแล้ว // เราควรให้ โลกาภิวัฒน์ เป็นสิ่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม เราควรช่วยให้คนรุ่นใหม่ บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสร่วมก้าวไปสู่ ความท้าทายด้วยกัน

ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โลกเราจะเป็นแบบนี้ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด เพราะฉะนั้น เราควรให้บริษัทเล็กๆ ได้มีโอกาสมากขึ้น เราควรให้ประเทศกำลังพัฒนา ได้มีโอกาสมากขึ้น และเราควรส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสมากขึ้น

หลายพันปีก่อน เรามี Silk Road (เส้นทางสายไหม) ตอนนี้ เราควรมี e-road (เส้นทางอิเลคทรอนิคส์) เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กค้าขาย ทำธุรกิจได้ง่าย คล่องตัว

ในอนาคต โลกจะมีการปฏิรูปเทคโนโลยี
ผมให้เวลา 50 ปี
: ช่วง 20 ปีข้างหน้า อินเตอร์เน็ต จะกลายเป็นของเก่า
: ช่วง 30 ปีจากนั้น โลกเราจะซื้อ-ขายปลีก ในรูปแบบใหม่ (new retail) คือ online กับ offline และเข้าสู่ยุคการผลิตใหม่ ที่เรียกว่า IOT (Internet of Things) มีระบบการเงินใหม่

โลกในยุค IT เอเชียล้าหลังสหรัฐ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปไวเหมือนกบกระโดด เอาง่ายๆ 15 ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อว่า ธุรกิจ e-commerce ของจีน จะโตเร็วขนาดนี้ ก็ในเมื่อโครงสร้างสาธารณูปโภคเพื่อการค้าของจีน แย่สุดๆ

ถ้าจะว่ากันไปแล้ว e-commerce ในสายตาสหรัฐ เปรียบเหมือน ของหวาน แต่ จีน มอง e-commerce เป็นอาหารจานหลัก เพราะอะไร ก็เพราะสหรัฐมีห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทุกเมืองทั่วประเทศ อย่าง Walmart, Kmart แต่จีนเรา ไม่มีแบบนั้น

ในยุคที่เครื่อง พีซี เฟื่องฟู ชาวนาชาวสวนเราไม่มี ใช้กันไม่เป็น แต่ยุคนี้ ชาวนาชาวไร่มีมือถือกันทั้งนั้น เชื่อมต่อการค้า กับคนทั่วโลก ได้มากกว่า 4,000 ล้านคน

ไฟฟ้า ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นในยุโรป แต่ไปใช้มากในอเมริกา อินเตอร์เน็ท คิดค้นในอเมริกา แต่มาใช้ประโยชน์กันมากในเอเชีย ถ้าคนเอเชีย ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เต็มที่เต็มกำลัง คิดดู เราจะโตกันขนาดไหน ผมถึงมองว่า เอเชียนั้น มีศักยภาพ

เราจะทำยังไงให้เอเชียเชื่อมต่อกับอนาคตได้? ผมมองอย่างนี้ อย่างที่ผมบอก คือ Small is beautiful. Small is powerful. Small is wonderful. ยิ่งเล็กยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กยิ่งทรงพลัง ยิ่งเล็กยิ่งวิเศษสุด .. โลกยุคข้อมูล เราต้องสู้กันด้วยความฉลาดและสมอง ไม่ใช่พลกำลัง คว้าโอกาสที่เห็น ขอให้มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ขอให้เปิดใจกว้าง ขอแค่ยอมรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าบริษัทคุณจะเล็กแค่ไหน ประเทศเล็กด้อยเพียงไหน คุณสู้ได้แน่นอน

หลายคนบอกว่า เทคโนโลยี ทำให้คนตกงาน ผมว่าไม่จริง เทคโนโลยี มีแต่จะยิ่งสร้างงาน ดูอย่าง อาลีบาบาของผม สร้างงานให้คนในประเทศมาแล้ว 13 ล้านตำแหน่ง // เทคโนโลยี จะเป็นปัจจัยสำคัญ ในการขจัดปัญหาความยากจนด้วยซ้ำ

ขอขอบคุณ : คุณแจ๊ค หม่า เจ้าพ่อ e-commerce นักธุรกิจ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่มองอะไรๆ ทะลุปรุโปร่ง

ขอขอบคุณ : Facebook Saranrom Radio

https://www.facebook.com/watcharin.setakudan/posts/10155342147234616

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Top 10 Life Lessons From Warren Buffett


1. คบกับคนที่เขาเก่งกว่าคุณ มีความคิดที่เหนือกว่าคุณ เพราะอย่างน้อยสุด คุณจะได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง

วอเร็น บัฟเฟตต์มีความเชื่อเรื่องของ "ธรรมชาติคัดสรร" (Natural Selection) คือ ผู้ที่เก่ง คือผู้ที่อยู่รอด ถ้าเราต้องการที่จะอยู่รอด คุณต้องเป็นคนเก่ง และหนทางที่จะไปสู่ความเก่งได้นั้น คือ การพัฒนาตัวเองโดยการคบกับคนที่เก่ง หรือมีความคิดที่เหนือกว่าคุณ

2. เงินไม่สามารถเปลี่ยนให้คนมารักคุณมากขึ้น หรือว่าซื้อสุขภาพที่ดีได้

คนจำนวนมากทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อหาเงิน จึงละเลยสิ่งรอบข้างไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว พี่น้อง ภรรยา-ลูก สุดท้ายแล้วเมื่อเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิต มองลงมากลับไม่มีใครยืนข้างเขาเลย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จุดสูงสุดของชีวิตคุณกลับอ้างว้างและเดียวดาย

3. สิ่งที่คนฉลาดทำในตอนเริ่มต้น คนโง่จะจบมันในท้ายที่สุด

คำพูดของบัฟเฟตต์ข้อนี้ชี้ให้เห็นในเรื่องของการลงทุน...

นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบทำอะไรตามๆกันเหมือนๆกัน เช่น ไล่หุ้นที่กำลังร้อนแรง ซื้อหุ้นที่คนอื่นบอกว่าเป้นหุ้นแห่งอนาคต ถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วในตอนเริ่มต้น มันจะมีคนฉลาดที่ทำกำไรได้ในตอนแรก และคนที่ขาดทุนคือคนโง่ที่ซื้อหุ้น ณ ราคาสูง จะเป็นผู้จบมันในท้ายที่สุด -- เป็นคำพูดที่เจ็บแสบจริงๆ --



4. ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จ"มากๆ" คือ คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ มักจะมีคำพูดติดปาก คือ "ไม่" เกือบจะทุกสิ่ง

ข้อนี้ของบัฟเฟตต์ยกตัวอย่างว่า ประสบการณ์ลงทุนที่ผ่านมามากกว่า 60 ปี ของบัฟเฟตต์ เขามีข้อเสนอทางธุรกิจมากมาย แต่เขาก็มักจะตอบปฏิเสธเสมอ ยกเว้นข้อเสนอที่เขาเชื่อว่า "ดีที่สุด" เขาจึงเลือกมัน

"อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา จงอดทนแล้วปล่อยให้ลูกบอลที่ขว้างผ่านไป ให้เลือกเฉพาะลูกจังหวะสวยๆแล้วหวดให้เต็มแรง" บัฟเฟตต์กล่าวเสริม

5. ตัดผมอย่าถามช่างตัดผมว่าคุณควรตัดหรือไม่

ช้อนี้เป็นการบ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวของบัฟเฟตต์ว่า เมื่อคุณกำลังเจรจาทางธุรกิจ ให้คุณเตรียมข้อมูลให้พร้อม ไม่ใช่ไปฟังคนที่ต้องการขายธุรกิจให้คุณ เขาเหล่านั้นจะพูดแต่ด้านดีๆ ไม่พูดด้านเสีย การลงทุนก็เช่นกัน การฟังเสียงโบรคเกอร์ให้คุณซื้อ-ขาย หุ้นตัวนั้นตัวนี้โดยที่คุณไม่รู้ว่าหุ้นเหล่านั้นทำธุรกิจอะไร เป็นเรื่องที่เสียหายมาก

6. คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเฝ้ามองกระดานหุ้น แต่ผมใช้เวลาไปกับการคิดวิเคราะห์

การเฝ้ามองกระดานหุ้น ไม่ได้ช่วยอะไร แต่การกลับไปทำการบ้าน นั่งคิดวิเคราะห์ถึงธุรกิจที่เรากำลังจะซื้อ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้นได้มากกว่า

7. "เราใช้เวลา 20 ปีในการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เราสามารถทำลายมันทั้งหมดได้เพียงแค่ 5 นาที ถ้าคุณระลึกถึงมัน คุณจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป"

บัฟเฟต์แนะนำเสมอว่าเราควรสร้างคุณค่าให้แก่ตัวเราเอง และกว่าจะสร้างชื่อเสียงและเกียรติให้แก่สิ่งที่เรามีได้ มันอาศัยเวลาที่ยาวนาน ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไร ควรคิดให้ดีก่อน ถ้าเรามีสติ คิดตรึกตรองความจริงในข้อนี้ให้ดีๆ เราจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เราจะไม่ทำสิ่งที่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบแต่สามารถทำลายทุกอย่างที่เรามีได้ในชั่วพริบตา


8. ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์ ขอแค่ทำสิ่งที่ถูกไม่กี่ครั้งก็เพียงพอแล้ว

ก็อย่างที่ชาลี มังเกอร์กล่าวเอาไว้ นักลงทุนไม่จำเป็นต้องทำตัวฉลาดตลอดเวลา ขอแค่ไม่ทำเรื่องโง่ๆลงไป ก็เหนือกว่านักลงทุนโดยส่วนใหญ่แล้ว


9. ถ้าคุณซื้อในสิ่งที่คุณไม่จำเป็น สักวันคุณจะต้องขายในสิ่งที่จำเป็น

การซื้อทรัพย์สิน จะทำให้เงินในกระเป๋าคุณเพิ่มขึ้น แต่การซื้อหนี้สิน จะเป็นการดึงเงินในกระเป๋าของคุณออกไป การใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งของที่หรูหราและไม่จำเป็น จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพการเงินของคุณเอง

10. ถ้าวันนี้เรากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพื่ออาศัยร่มเงา ให้พึ่งระลึกไว้เสมอว่าต้องมีใครสักคนหนึ่งได้ปลูกมันเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

สำหรับข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า เรื่องของการลงทุนเป็นเรื่องของระยะยาวถึงจะเก็บออกดอกผลได้อย่างเต็มที่ การซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ การถือมันไว้เพราะเชื่อว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีในอนาคต เมื่อระยะเวลาผ่านไปมันจะสามารถเลี้ยงเราได้โดยปันผล

--------------------------------



ที่มา : Forbes

แปลและเรียบเรียงโดย SiTh LoRd PaCk
http://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=804