พลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้น
ความลับของบัฟเฟทผมได้อ่านบทความของบัฟเฟทแล้ว มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนแบบ Passive investor ที่เราเข้าใจว่าจะทำให้เรารวยเป็นเศรษฐีเหมือนเต่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ยิ่งหยุดนิ่ง ยิ่งก้าวหน้ารวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพราะทุกย่างก้าวที่เราลงทุนแบบหยุดนิ่งนั้น กลับมีพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ ที่ผลักดันให้ผลตอบแทนของเราก้าวกระโดดผลตอบแทนที่มากนั้น มาจากพลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้นนั้นเองด้วยความเชื่อในพลังของดอกเบี้ยทบต้นนี้เองที่เป็นเคล็ดลับที่สำคัญที่ทำให้บัฟเฟทให้ความสำคัญในการคัดเลือกหุ้นที่มีการบริหารผลตอบแทนการลงทุนให้กับผุ้ถือหุ้นโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่น ๆ บัฟเฟทให้ความสำคัญของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นพลังที่ซ่อนเร้นในการขับเคลื่อนผลตอบแทนเพียงแต่พลังงานซ่อนเร้นนั้นต้องไม่ตก และอาศัยเงินปันผลจากการลงทุนในแต่ละปีที่สมทบเข้าไปเพิ่มอีกในแต่ละปี หรือพลังดอกเบี้ยทบต้น รวมกับพลังของอัตราผลตอบแทนในแต่ละปีที่บริษัททำได้เรามาดูกันว่า หากเราสามารถคัดเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทน ROE สุดยอด กล่าวคือ สามารถให้ผลตอบแทนสูงประมาณ 25% โดยเฉลี่ยในช่วง 30 ปี อะไรจะเกิดขึ้น หากเราค้นพบขุมทรัพย์ของหุ้นดังกล่าว และหลับไป 30 ปี แล้วตื่นขึ้นมาเมื่อครบ 30 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องสนใจกับการซื้อขายในแต่ละวัน แต่ละเดือน หรือแต่ละปีครับจากเครื่องคำนวณhttp://www.moneychimp.com/articles/valuation/stockvalue.htmเพียงคุณกดเครื่องคำนวณใน website นี้ แล้ว ใส่ข้อมูลตามข้างล่างนี้Current Principal: $ 1,000,000Annual Addition: $ 0Years to Grow: 30Growth Rate: % 25แล้วกดคำนวณดูครับFuture Value: $ 807,793,566.95จะเห็นตัวเลขที่มหัศจรรย์ 1 ตัวขึ้นมาก็คือ คุณจะตกใจทันทีเหมือนถูกล้อตเตอรี่รางวัลยิ่งใหญ่ในชีวิต คือจะรวยเป็นเศรษฐีทันทีจากเงินเริ่มต้นเพียง 1 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนรวมกับเงินต้น ณ ปีที่ 30 จะอยู่ที่ 807 ล้านบาทครับ ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับ อยู่นิ่ง ๆ แต่กลับเพิ่มผลตอบแทนที่สูงมาก ๆ เพียงแต่เราต้องสามารถเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสม่ำเสมอในแต่ละปีโดยเฉลี่ยให้ได้ปีละไม่น้อยกว่า 25% ครับดังนั้น เมื่อเราสามารถเลือกหุ้นที่สุดยอดได้แล้ว ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนเริ่มแรกของเราในแต่ละปีได้ปีละ 25% ครับเพียงอดทนและปล่อยให้ผลการดำเนินงานในแต่ละปีของบริษัที่เราลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้า เต่าที่ก้าวช้า ๆ ก็จะก้าวใหญ่ขึ้น เป็นก้าวแบบไดโนเสาร์ไม่รู้ตัวเลยครับลองไปกดเครื่องคำนวณดูนะครับดังนั้น ก้าวย่างช้า ๆ มั่นคง คัดเลือกหุ้นที่สุดยอดที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการลงทุนทั่วไป และใช้จังหวะการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำ เมื่อมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ระยะสั้นเข้ามามีผลกระทบกับหุ้นสุดยอดของเรา เมื่อซื้อได้แล้ว ก็เหมือนกันเราได้กำหนดผลตอบแทนได้เริ่มแรกแล้วครับต่อจากนั้น ก็เฝ้าดุการบริหารผลตอบแทนของการลงทุนของหุ้นที่เราเลือกแล้วว่าเป็นหุ้นสุดยอดของเรา เพื่อดุว่า ผลตอบแทน ROE นั้นยังทำได้ดีและยั่งยืนหรือไม่ในระยะยาวครับเลือกยากตอนแรก แต่ง่ายตอนหลังคือ อยู่นิ่ง ๆ ไม่ว่าภาวะของหุ้นจะผันผวนอย่างไรก็ตามครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shareidea&month=09-2007&date=18&group=2&gblog=4
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
อัตราดอกเบี้ยทบต้น
ออมเพิ่มค่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้น
โดย : เมธา ปิงสุทธิวงศ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุกๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาทหรือ 57.28 เท่า
ช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้ออมเงินหลายคนคงต้องเหนื่อยกับการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งเงินฝากและกองทุน ที่ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้นำเสนอกันมากมายในตลาด เพื่อเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนว่าผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินใดจะให้ผลตอบแทนที่อัตราดีกว่ากัน แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ออมเงินสามารถได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์จากเงินฝากหรือเงินที่ลงทุนไว้
โดยในฉบับนี้ผมจะมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งเดิมทีถ้าใครได้ยินคำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” แล้ว ก็มักจะนึกไปถึงเรื่องในแง่ร้าย คือ เงินกู้ที่หากชำระล่าช้าแล้วจะถูกคิด “ดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก” ซึ่งก็สร้างความรู้สึกว่าหากถูกคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแล้วจำนวนเงินที่จะต้องชำระจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
แต่หลายคนลืมมองกลับด้านว่าถ้าหากเป็นมุมของการออมเงินด้วยการฝากเงินหรือการลงทุนอื่นๆ ที่มีระยะยาว หรือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตามที่ผมได้กล่าวไว้ในฉบับที่ผ่านมาแล้ว คำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง และผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยคำนวณว่าจริงๆ แล้ว การลงทุนกับเงินก้อนหนึ่ง แล้วสมมุติว่าได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากเงินก้อนนั้นจะเป็นเท่าไหร่
ทั้งนี้การที่เราเริ่มต้นออมหรือลงทุน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนต่อปี โดยไม่ถอนออกมาหรือหากครบกำหนดก็มีการลงทุนต่อในจำนวนเงินที่ได้รับทั้งจำนวน (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ซึ่งจะทำให้เราจะมีผลตอบแทนที่ทบกับผลตอบแทนเดิมไปเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งนั่นก็คือหลักของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” นั่นเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
โดยผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” มีความน่าสนใจและจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไร..ดังนี้ครับ
หากเรานำเงินมาลงทุน จำนวน 1 บาท ครั้งเดียว โดยได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนอยู่ที่ 20 ปี เงินลงทุน 1 บาทของเราจะมีมูลค่าในปีที่ 20 เพิ่มเป็น 6.73 บาท หรือคิดเป็น 6 เท่า เกือบ 7 เท่า เลยครับ แต่หากผลตอบแทนที่เรากำหนดไว้อยู่ที่ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเรามีมูลค่าสูงถึง 16.37 บาท หรือ 16.37 เท่าครับ
แต่หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุก ๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาท หรือ 57.28 เท่าเลยครับ ดังนั้นการลงทุนยิ่งถี่ยิ่งดีครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะโตมากขึ้นเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ 1. เงินลงทุนเริ่มต้น 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาที่ลงทุนครับ
ในอีกมุมหนึ่งหากเราเลือกที่จะฝากเงินกับสถาบันการเงิน โดยเลือกระยะเวลาฝากยาว 20 ปี อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งหากฝากเงิน 1 บาทในปีที่ 20 ผลตอบแทนที่ได้จะเท่ากับ 1.81 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับการเลือกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการออมหรือการลงทุนนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะต้องมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยนะครับ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีการแพงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และหากเราเลือกลงทุนในส่วนที่ให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อหรือสูงกว่าเล็กน้อย ก็แสดงว่าการดำเนินชีวิตของเราจะยังอยู่ในระดับเดิม
แต่หากต้องการให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น ก็ต้องเลือกการออมหรือการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำเสนอก็มักจะกำหนดไว้ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้บ้างครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก อาทิ เช่น การลงทุนในหุ้นทุน กองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนทอง เป็นต้น แต่อย่าลืมคำนึงถึงเงินที่เราเอามาลงทุนด้วยนะครับว่าจะต้องไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินต้นที่เราลงทุนได้
สรุปแล้วเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับสำหรับการลงทุน ดังนั้นอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก และให้น้ำหนักกับการลงทุนในระยะยาว เพื่อผลตอบแทนที่จะเพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์ในอนาคตครับ
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ pr.tisco@gmail.com พบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
http://www.bangkokbiznews.com/
โดย : เมธา ปิงสุทธิวงศ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุกๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาทหรือ 57.28 เท่า
ช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้ออมเงินหลายคนคงต้องเหนื่อยกับการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งเงินฝากและกองทุน ที่ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้นำเสนอกันมากมายในตลาด เพื่อเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนว่าผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินใดจะให้ผลตอบแทนที่อัตราดีกว่ากัน แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ออมเงินสามารถได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์จากเงินฝากหรือเงินที่ลงทุนไว้
โดยในฉบับนี้ผมจะมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งเดิมทีถ้าใครได้ยินคำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” แล้ว ก็มักจะนึกไปถึงเรื่องในแง่ร้าย คือ เงินกู้ที่หากชำระล่าช้าแล้วจะถูกคิด “ดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก” ซึ่งก็สร้างความรู้สึกว่าหากถูกคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแล้วจำนวนเงินที่จะต้องชำระจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
แต่หลายคนลืมมองกลับด้านว่าถ้าหากเป็นมุมของการออมเงินด้วยการฝากเงินหรือการลงทุนอื่นๆ ที่มีระยะยาว หรือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตามที่ผมได้กล่าวไว้ในฉบับที่ผ่านมาแล้ว คำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง และผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยคำนวณว่าจริงๆ แล้ว การลงทุนกับเงินก้อนหนึ่ง แล้วสมมุติว่าได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากเงินก้อนนั้นจะเป็นเท่าไหร่
ทั้งนี้การที่เราเริ่มต้นออมหรือลงทุน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนต่อปี โดยไม่ถอนออกมาหรือหากครบกำหนดก็มีการลงทุนต่อในจำนวนเงินที่ได้รับทั้งจำนวน (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ซึ่งจะทำให้เราจะมีผลตอบแทนที่ทบกับผลตอบแทนเดิมไปเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งนั่นก็คือหลักของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” นั่นเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
โดยผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” มีความน่าสนใจและจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไร..ดังนี้ครับ
หากเรานำเงินมาลงทุน จำนวน 1 บาท ครั้งเดียว โดยได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนอยู่ที่ 20 ปี เงินลงทุน 1 บาทของเราจะมีมูลค่าในปีที่ 20 เพิ่มเป็น 6.73 บาท หรือคิดเป็น 6 เท่า เกือบ 7 เท่า เลยครับ แต่หากผลตอบแทนที่เรากำหนดไว้อยู่ที่ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเรามีมูลค่าสูงถึง 16.37 บาท หรือ 16.37 เท่าครับ
แต่หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุก ๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาท หรือ 57.28 เท่าเลยครับ ดังนั้นการลงทุนยิ่งถี่ยิ่งดีครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะโตมากขึ้นเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ 1. เงินลงทุนเริ่มต้น 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาที่ลงทุนครับ
ในอีกมุมหนึ่งหากเราเลือกที่จะฝากเงินกับสถาบันการเงิน โดยเลือกระยะเวลาฝากยาว 20 ปี อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งหากฝากเงิน 1 บาทในปีที่ 20 ผลตอบแทนที่ได้จะเท่ากับ 1.81 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับการเลือกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการออมหรือการลงทุนนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะต้องมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยนะครับ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีการแพงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และหากเราเลือกลงทุนในส่วนที่ให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อหรือสูงกว่าเล็กน้อย ก็แสดงว่าการดำเนินชีวิตของเราจะยังอยู่ในระดับเดิม
แต่หากต้องการให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น ก็ต้องเลือกการออมหรือการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำเสนอก็มักจะกำหนดไว้ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้บ้างครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก อาทิ เช่น การลงทุนในหุ้นทุน กองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนทอง เป็นต้น แต่อย่าลืมคำนึงถึงเงินที่เราเอามาลงทุนด้วยนะครับว่าจะต้องไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินต้นที่เราลงทุนได้
สรุปแล้วเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับสำหรับการลงทุน ดังนั้นอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก และให้น้ำหนักกับการลงทุนในระยะยาว เพื่อผลตอบแทนที่จะเพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์ในอนาคตครับ
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ pr.tisco@gmail.com พบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
http://www.bangkokbiznews.com/
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553
'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'
'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'
เปิดใจ 'หมอสามัญชน' ประธานชมรมไทยวีไอดอทคอม จากเงินก้อนแรก 1.4ลบ. ผ่านไป 9ปี พอร์ตหุ้นทะยานแตะระดับ 'ร้อยล้าน' เขาทำได้ คุณก็ทำได้
ใครๆ ก็ยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆ ก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ "ครอบครัวศรีงาน" เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิตเป็นเดิมพัน
เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ "ทบต้น" และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น "นาย" ของเงินนับ "ร้อยล้านบาท" ในปัจจุบัน และใช้เงิน "ทำงาน" ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.."พี่หมอสามัญชน"
กลุ่มนักลงทุน "ไทยวีไอ" ที่ก่อตั้งโดยแกนนำอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฯลฯ เป็นผู้นำแนวคิดของปรมาจารย์การลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เบนจามิน เกรแฮม ปีเตอร์ ลินช์ มาปรับใช้กับการลงทุนแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว จนเกิดนักลงทุนทางเลือกที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน นพ.บำรุง ศรีงาน เป็นประธานชมรม "ไทยวีไอ" ที่หันเหชีวิตมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ส่วนตัวเขาเริ่มไต่ระดับพอร์ตหุ้นจากหลัก "ล้านบาท" สู่ระดับ "ร้อยล้านบาท" จากการเข้าลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ไอที ซิตี้ (IT) ผาแดงอินดัสทรี (PDI) เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) และไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) บางตัวมีกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยกับคุณหมอสามัญชนที่โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง คุณหมอนักลงทุน เปิดฉากชีวิตก่อนจะมาถึงจุดนี้ให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดีกว่าอาชีพอื่นแต่เริ่มมีความคิดว่าอายุเราก็เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานย่อมลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเพราะลูกทั้งสามคนโตขึ้นทุกวัน จึงตัดสินใจมองหาอาชีพเสริมตอนนั้นคิดจะเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
"แต่หลังจากไปฟังสรุปข้อมูลจากทางบริษัทคิดว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องลงไปบริหารร้านเองด้วย ต่อมามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ จับใจความสำคัญได้ว่าเราสามารถใช้เงินให้ทำงานได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บที่มีอยู่ 400,000-500,000 บาท จากการทำงานมาตลอด 7 ปี บวกกับกู้เงินสหกรณ์อีก 1,000,000 บาทนำไปลงทุน โดยไม่คิดฝากเงินในธนาคารเพราะตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1% ต่ำมาก"
ตอนนั้นในหัวคุณหมอคิดถึงทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ "อันดับแปด" ของโลกนั่นคือ “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีต่อเนื่อง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
"จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังได้เห็นโฆษณาขายหุ้นไอพีโอ ปตท. (PTT) แล้วเขาชูเรื่องจ่ายเงินปันผล 7% เยอะกว่าฝากเงินมากเลยตัดสินใจเปิดพอร์ตเดี๋ยวนั้นเลยกับ บล.เกียรตินาคิน"
ก้าวแรกในการลงทุนของคุณหมอยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดประสบการณ์และความรู้ยังไม่แน่น เริ่มซื้อหุ้นชุดแรก เช่น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ผ่านไปประมาณครึ่งปีขาดทุนไป 400,000 บาท
"เหตุผลที่ซื้อหุ้นตอนนั้นเพราะโบรกเกอร์บอกว่าหุ้นกลุ่มเกษตรจ่ายปันผลดีกว่า ปตท. มาขาดทุนหุ้น CFRESHเพราะดูงบการเงินในอดีตและปัจจุบันมันดี แต่ลืมดูแนวโน้มในอนาคต (จากที่คิดว่าถูกก็เลยกลายเป็นแพง)"
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมจนได้มาอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาช่วยเติมเต็มความรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้นจากหนังสือตีแตกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็น "เจ้าของกิจการ" กับการเป็น "นักลงทุน"
ข้อดีของการเป็นนักลงทุนคือเราสามารถเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงได้รวมถึงสามารถเลือกขายออกไปในราคาที่มากกว่ามูลค่าทางบัญชีได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของหุ้นก็ต้องกอดหุ้นตัวนั้นไปตลอดไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ดี
นอกจากนี้ เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจระดับประเทศได้โดยที่ไม่ต้องลงไปสร้างเองกับมือ คนทั่วไปคงไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน
"ผมเป็นข้าราชการกินเงินเดือน คงไม่มีเงินไปลงทุนธุรกิจใหญ่เองได้ แต่การเป็นนักลงทุนทุกอย่างเปิดโอกาสให้เราได้หมด หนังสือตีแตกยังสอนให้รู้จักการอ่านงบการเงินอย่างถูกต้องด้วย"
ปีที่สองของการลงทุน...กำไรเกือบ 3 ล้าน
พอในปี 2546 หมอบ้านนอกได้ค้นพบหนทางแห่งความร่ำรวยจากการใช้เงินทำงานตามแนวคิดของโรเบิร์ต คิโยซากิ และตีแตกแบบ ดร.นิเวศน์
ปีที่สองของการลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 323 จุด (ปี 2545) ทะยานขึ้นไป 802 จุด (ปี 2546) ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังท็อปฟอร์ม พอร์ตของ นพ.บำรุง ก็โตขึ้นมากกว่า 100% ด้วย ปีนั้นสามารถทำกำไรได้เกือบๆ 3,000,000 บาท แต่ปีถัดไปพอร์ตกลับมา "ติดลบ" อีกครั้ง หลังในปี 2547 ดัชนีดิ่งลงมาต่ำสุด 576 จุด เพราะปีก่อนขึ้นไปมากเกินไป รู้ซึ้งสัจธรรมตลาดหุ้นมีขึ้น-มีลง ขึ้นมากได้ก็ลงมากได้เช่นกัน และไม่มีหุ้นอะไรที่ดีตลอดไป
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่ได้กำไรในปี 2546 มาก มาจากภาพรวมดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไปมาก แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความรู้ที่แท้จริง ทำให้ต้องเริ่มต้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ขาดทุนอีก
จุดเปลี่ยนในฐานะแวลูอินเวสเตอร์อย่างเต็มตัวเกิดขึ้นจากการที่คุณหมอเริ่มเข้าไปพูดคุยในเว็บบอร์ด “ไทยวีไอดอทคอม” เป็นจุดหักเหทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดการลงทุนเชิงบูรณาการมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักลงทุน "รู้เขา-รู้เรา" ไม่ได้คิดเองคนเดียว จนถึงปีที่ห้าของการลงทุนเริ่มกลับมาได้กำไรประมาณ 20-30%
ถึงตรงนี้หมอบำรุงเริ่มอธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองให้ฟังว่าคล้ายๆ แต่ไม่เหมือนกับแนวทางของ ดร.นิเวศน์ที่ยึดหลักของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือค้นหา "หุ้นสุดยอด" (Great Stock) ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและอยู่กับมันให้นานที่สุด แต่วิธีการของหมอบำรุงจะค่อนไปทาง ปีเตอร์ ลินช์ และแนวทางของ เบนจามิน เกรแฮม ต้นตำรับการลงทุนแนววีไอ
ปีเตอร์ ลินช์ +เกรแฮม = หมอบำรุง
นพ.บำรุง บอกว่าถ้าเป็นแนวคิดของเบนจามิน เกรแฮม จะค้นหาหุ้นที่มีทรัพย์สินมากแต่ราคาถูก แต่ของปีเตอร์ ลินช์ จะเน้นลงทุนหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ในประเทศไทยหาหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนยาก และส่วนตัวมองธุรกิจกลุ่มนี้ได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง (เหมือน ดร.นิเวศน์) จึงเดินตามแนวทางที่ "ใช่" กับตัวเองมากกว่า
แม้แวลูอินเวสเตอร์ในประเทศไทยจะมีหลายแขนง (วอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, จอห์น เนฟฟ์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ฯลฯ) แต่แก่นของแนวคิดนี้มีอยู่ข้อเดียวคือ ราคาต้อง Under Value เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า ในแง่ราคาหุ้นจะต้องมีค่าพี/อี เรโช ต่ำ ยิ่งต่ำมากระดับเลขตัวเดียวหรือถ้าอยู่ที่ 3-4 เท่าได้จะดีมาก ข้อระวังคือต่อให้ราคาถูกมากแต่ไม่สามารถประเมินกำไรในอนาคตได้อย่างนี้ก็ "ไม่ควรซื้อ"
ถ้าเป็นหุ้นเติบโตค่อนข้างดูง่ายเพราะสามารถอ่านจากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ได้และดูแนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้นๆ ประกอบกันก็พอมองออก ที่ต้องระวังคือความเห็นของผู้บริหารควรต้องมีความเป็นไปได้คู่กับงบการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์จะดูยากที่สุด ขอให้โฟกัสไปที่ผู้บริหารเป็นหลักว่ามีความสามารถในการบริหารเพียงใด ถ้าย้อนไปดูสาเหตุที่บริษัทตกต่ำแล้ววิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาจะสามารถนำธุรกิจกลับมาได้หรือไม่
ส่วนหุ้นวัฏจักรส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมๆ อย่างเช่นธุรกิจเกษตรซึ่งมีวงจรสั้นที่สุด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นระยะกลาง ส่วนตัวจะชอบหุ้นที่มีวัฏจักรระยะยาว 10 ปี และจะเลือกซื้อตอนที่ธุรกิจอยู่ในช่วงสุดท้ายของ "ขาลง" และถ้ากลับมาเป็น "ขาขึ้น" ได้จริง ผลตอบแทนจะสูงมาก
ข้อแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นวัฏจักร ถ้าเป็น Growth Stock ส่วนใหญ่รายได้จะเติบโตประมาณ 10% ขึ้นไป และลูกค้าจะหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องอย่างเช่นหุ้นกลุ่มค้าปลีก แต่ถ้าเป็น Cyclical Stock รายได้จะโตมากกว่านั้น แต่ลูกค้าใช้บริการครั้งเดียวแล้วหยุดเลยอย่างเช่นพวกบ้านจัดสรร ปีนี้อาจจะดีแต่ปีหน้าไม่รู้แล้ว การคาดเดายากกว่าแต่ก็เป็นโอกาสให้เรามองเห็นช่องที่จะลงทุนได้
"ทุกครั้งหลังวิกฤติธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเสมอเพราะรัฐบาลจะเข้ามาอุ้มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกอย่างรถยนต์ตอนนี้เป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว" หมอสื่อว่าถ้าเรารู้จักสังเกตจะได้กำไรจากวิกฤติอย่างมาก
โฟกัสหุ้น 4 ตัว แทงหนักตัวที่ชอบ
วิธีการเลือกหุ้นของหมอบำรุงจะเลือกแบบโฟกัสหุ้นเพียง 4 ตัว แต่ในพอร์ตจะแบ่งเงินไม่เท่ากันจะใช้วิธีจัดอันดับและใส่เงินในหุ้นที่ "ชอบที่สุด..มากที่สุด" โดยจะดูที่ปัจจัยพื้นฐานก่อนว่าทำธุรกิจอะไร มีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง จุดแข็งคืออะไร วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค) ด้วย
หมอเลือกที่จะใช้เวลาในการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างหนักในตอนแรกเพื่อที่จะสบายในตอนหลัง โดยเฉพาะงบการเงินจะบอกถึง “สุขภาพ” ของบริษัทนั้นๆ ได้ดีที่สุดว่าคนคนนั้นอ่อนแอหรือแข็งแรง เก่งหรือไม่เก่ง เหมือนกับการวินิจฉัยโรคตามแนวทางของแพทย์
ในงบการเงินสิ่งที่หมอย้ำให้ต้องอ่านอันดับแรกคือ "ความเห็นผู้สอบบัญชี" ว่ามีคอมเมนท์พิเศษที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าเกินสามย่อหน้า (ตามมาตรฐานบัญชี) นี่ต้องระวังแล้ว
"ช่วงปีแรกๆ ผมไปซื้อหุ้นรอยเนท (ผู้บริหารแต่งบัญชี) เพราะดูแค่งบบรรทัดสุดท้ายกำไรสวยอย่างเดียวลืมดูความเห็นผู้สอบบัญชีที่บอกว่าไม่สามารถออกความเห็นได้ ปรากฏว่าจากนั้นขาดทุนมาตลอด"
ต่อมาคือการประเมิน "ผลกำไรในอนาคต" นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากกว่าไปตามข่าวในห้องค้าอย่างเช่นจะแจกวอร์แรนท์ เพิ่มทุน ควบรวมกิจการ บางทีก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าเราประเมินกำไรในอนาคตได้ยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ขอให้คิดแบบอนุรักษนิยมไว้บ้างอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากไป
ที่สำคัญที่สุดคือ "ราคา" หรือ "Valuation" ว่าถูกหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อหุ้นแพงแม้ว่าจะดีแค่ไหนเพราะเราจะไม่ได้กำไรแถมอาจขาดทุนด้วย ตัวอย่างรถเบ็นซ์ใครก็รู้ว่าดีแต่มีคนมาขายให้เรา 20 ล้านบาท คงไม่มีใครซื้อเพราะสามารถไปซื้อป้ายแดงที่ราคา 3-4 ล้านบาทก็ได้ แต่ถ้าซื้อของถูกมาก่อนเราสามารถขายต่อให้แพงขึ้นได้ถ้าหุ้นนั้นดีจริง...บทสรุปคือเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการให้ได้ (ไม่จำเป็นต้องเหมือนนักวิเคราะห์)
เขาให้ข้อสังเกตว่าหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมต่างกัน หุ้นที่ "หาเช้ากินค่ำ" คือทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ควรจะมีค่าพี/อี เรโชที่ 5-7 เท่า แต่หุ้นที่ "เติบโต" ควรมีมากกว่านั้น ส่วนในภาวะ "วิกฤติ" ค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3-4 เท่าถึงจะน่าลงทุน
คุณหมอย้ำว่าหุ้นที่ราคายุติธรรมมักจะไม่ใช่หุ้นตัวใหญ่ที่พวกนักลงทุนสถาบันกับนักวิเคราะห์จับตามอง แบบนั้นจะหาราคาถูกๆ ยาก หุ้นที่ Under Value อาจจะอยู่แบบรอดหูรอดตาเสมอ แต่ต้องระวังหุ้นสภาพคล่องต่ำไว้ด้วย
"พวกนักวิเคราะห์กับสถาบันเขายกหูคุยกับคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.) ได้แต่รายย่อยอย่างเราทำไม่ได้อย่าคิดไปแข่งเลย แต่ขอให้ดูหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสักวันละ 2-3 ล้านบาทขึ้นไปไม่งั้นเข้าออกลำบาก"
สัปดาห์หน้า..หมอบำรุงจะพาเราไปเจาะลึกถึง "เหตุ" และ "ผล" ในการตัดสินใจ "เลือกซื้อหุ้น" ที่ยกระดับให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนระดับ "ร้อยล้านบาท" จากหมอบ้านนอกสู่ "เซียนหุ้นวีไอ"
http://www.bangkokbiznews.com
ใครๆ ก็ยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆ ก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ "ครอบครัวศรีงาน" เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิตเป็นเดิมพัน
เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ "ทบต้น" และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น "นาย" ของเงินนับ "ร้อยล้านบาท" ในปัจจุบัน และใช้เงิน "ทำงาน" ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.."พี่หมอสามัญชน"
กลุ่มนักลงทุน "ไทยวีไอ" ที่ก่อตั้งโดยแกนนำอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฯลฯ เป็นผู้นำแนวคิดของปรมาจารย์การลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เบนจามิน เกรแฮม ปีเตอร์ ลินช์ มาปรับใช้กับการลงทุนแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว จนเกิดนักลงทุนทางเลือกที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน นพ.บำรุง ศรีงาน เป็นประธานชมรม "ไทยวีไอ" ที่หันเหชีวิตมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ส่วนตัวเขาเริ่มไต่ระดับพอร์ตหุ้นจากหลัก "ล้านบาท" สู่ระดับ "ร้อยล้านบาท" จากการเข้าลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ไอที ซิตี้ (IT) ผาแดงอินดัสทรี (PDI) เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) และไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) บางตัวมีกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยกับคุณหมอสามัญชนที่โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง คุณหมอนักลงทุน เปิดฉากชีวิตก่อนจะมาถึงจุดนี้ให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดีกว่าอาชีพอื่นแต่เริ่มมีความคิดว่าอายุเราก็เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานย่อมลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเพราะลูกทั้งสามคนโตขึ้นทุกวัน จึงตัดสินใจมองหาอาชีพเสริมตอนนั้นคิดจะเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
"แต่หลังจากไปฟังสรุปข้อมูลจากทางบริษัทคิดว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องลงไปบริหารร้านเองด้วย ต่อมามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ จับใจความสำคัญได้ว่าเราสามารถใช้เงินให้ทำงานได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บที่มีอยู่ 400,000-500,000 บาท จากการทำงานมาตลอด 7 ปี บวกกับกู้เงินสหกรณ์อีก 1,000,000 บาทนำไปลงทุน โดยไม่คิดฝากเงินในธนาคารเพราะตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1% ต่ำมาก"
ตอนนั้นในหัวคุณหมอคิดถึงทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ "อันดับแปด" ของโลกนั่นคือ “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีต่อเนื่อง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
"จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังได้เห็นโฆษณาขายหุ้นไอพีโอ ปตท. (PTT) แล้วเขาชูเรื่องจ่ายเงินปันผล 7% เยอะกว่าฝากเงินมากเลยตัดสินใจเปิดพอร์ตเดี๋ยวนั้นเลยกับ บล.เกียรตินาคิน"
ก้าวแรกในการลงทุนของคุณหมอยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดประสบการณ์และความรู้ยังไม่แน่น เริ่มซื้อหุ้นชุดแรก เช่น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ผ่านไปประมาณครึ่งปีขาดทุนไป 400,000 บาท
"เหตุผลที่ซื้อหุ้นตอนนั้นเพราะโบรกเกอร์บอกว่าหุ้นกลุ่มเกษตรจ่ายปันผลดีกว่า ปตท. มาขาดทุนหุ้น CFRESHเพราะดูงบการเงินในอดีตและปัจจุบันมันดี แต่ลืมดูแนวโน้มในอนาคต (จากที่คิดว่าถูกก็เลยกลายเป็นแพง)"
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมจนได้มาอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาช่วยเติมเต็มความรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้นจากหนังสือตีแตกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็น "เจ้าของกิจการ" กับการเป็น "นักลงทุน"
ข้อดีของการเป็นนักลงทุนคือเราสามารถเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงได้รวมถึงสามารถเลือกขายออกไปในราคาที่มากกว่ามูลค่าทางบัญชีได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของหุ้นก็ต้องกอดหุ้นตัวนั้นไปตลอดไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ดี
นอกจากนี้ เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจระดับประเทศได้โดยที่ไม่ต้องลงไปสร้างเองกับมือ คนทั่วไปคงไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน
"ผมเป็นข้าราชการกินเงินเดือน คงไม่มีเงินไปลงทุนธุรกิจใหญ่เองได้ แต่การเป็นนักลงทุนทุกอย่างเปิดโอกาสให้เราได้หมด หนังสือตีแตกยังสอนให้รู้จักการอ่านงบการเงินอย่างถูกต้องด้วย"
ปีที่สองของการลงทุน...กำไรเกือบ 3 ล้าน
พอในปี 2546 หมอบ้านนอกได้ค้นพบหนทางแห่งความร่ำรวยจากการใช้เงินทำงานตามแนวคิดของโรเบิร์ต คิโยซากิ และตีแตกแบบ ดร.นิเวศน์
ปีที่สองของการลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 323 จุด (ปี 2545) ทะยานขึ้นไป 802 จุด (ปี 2546) ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังท็อปฟอร์ม พอร์ตของ นพ.บำรุง ก็โตขึ้นมากกว่า 100% ด้วย ปีนั้นสามารถทำกำไรได้เกือบๆ 3,000,000 บาท แต่ปีถัดไปพอร์ตกลับมา "ติดลบ" อีกครั้ง หลังในปี 2547 ดัชนีดิ่งลงมาต่ำสุด 576 จุด เพราะปีก่อนขึ้นไปมากเกินไป รู้ซึ้งสัจธรรมตลาดหุ้นมีขึ้น-มีลง ขึ้นมากได้ก็ลงมากได้เช่นกัน และไม่มีหุ้นอะไรที่ดีตลอดไป
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่ได้กำไรในปี 2546 มาก มาจากภาพรวมดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไปมาก แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความรู้ที่แท้จริง ทำให้ต้องเริ่มต้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ขาดทุนอีก
จุดเปลี่ยนในฐานะแวลูอินเวสเตอร์อย่างเต็มตัวเกิดขึ้นจากการที่คุณหมอเริ่มเข้าไปพูดคุยในเว็บบอร์ด “ไทยวีไอดอทคอม” เป็นจุดหักเหทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดการลงทุนเชิงบูรณาการมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักลงทุน "รู้เขา-รู้เรา" ไม่ได้คิดเองคนเดียว จนถึงปีที่ห้าของการลงทุนเริ่มกลับมาได้กำไรประมาณ 20-30%
ถึงตรงนี้หมอบำรุงเริ่มอธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองให้ฟังว่าคล้ายๆ แต่ไม่เหมือนกับแนวทางของ ดร.นิเวศน์ที่ยึดหลักของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือค้นหา "หุ้นสุดยอด" (Great Stock) ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและอยู่กับมันให้นานที่สุด แต่วิธีการของหมอบำรุงจะค่อนไปทาง ปีเตอร์ ลินช์ และแนวทางของ เบนจามิน เกรแฮม ต้นตำรับการลงทุนแนววีไอ
ปีเตอร์ ลินช์ +เกรแฮม = หมอบำรุง
นพ.บำรุง บอกว่าถ้าเป็นแนวคิดของเบนจามิน เกรแฮม จะค้นหาหุ้นที่มีทรัพย์สินมากแต่ราคาถูก แต่ของปีเตอร์ ลินช์ จะเน้นลงทุนหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ในประเทศไทยหาหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนยาก และส่วนตัวมองธุรกิจกลุ่มนี้ได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง (เหมือน ดร.นิเวศน์) จึงเดินตามแนวทางที่ "ใช่" กับตัวเองมากกว่า
แม้แวลูอินเวสเตอร์ในประเทศไทยจะมีหลายแขนง (วอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, จอห์น เนฟฟ์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ฯลฯ) แต่แก่นของแนวคิดนี้มีอยู่ข้อเดียวคือ ราคาต้อง Under Value เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า ในแง่ราคาหุ้นจะต้องมีค่าพี/อี เรโช ต่ำ ยิ่งต่ำมากระดับเลขตัวเดียวหรือถ้าอยู่ที่ 3-4 เท่าได้จะดีมาก ข้อระวังคือต่อให้ราคาถูกมากแต่ไม่สามารถประเมินกำไรในอนาคตได้อย่างนี้ก็ "ไม่ควรซื้อ"
ถ้าเป็นหุ้นเติบโตค่อนข้างดูง่ายเพราะสามารถอ่านจากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ได้และดูแนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้นๆ ประกอบกันก็พอมองออก ที่ต้องระวังคือความเห็นของผู้บริหารควรต้องมีความเป็นไปได้คู่กับงบการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์จะดูยากที่สุด ขอให้โฟกัสไปที่ผู้บริหารเป็นหลักว่ามีความสามารถในการบริหารเพียงใด ถ้าย้อนไปดูสาเหตุที่บริษัทตกต่ำแล้ววิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาจะสามารถนำธุรกิจกลับมาได้หรือไม่
ส่วนหุ้นวัฏจักรส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมๆ อย่างเช่นธุรกิจเกษตรซึ่งมีวงจรสั้นที่สุด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นระยะกลาง ส่วนตัวจะชอบหุ้นที่มีวัฏจักรระยะยาว 10 ปี และจะเลือกซื้อตอนที่ธุรกิจอยู่ในช่วงสุดท้ายของ "ขาลง" และถ้ากลับมาเป็น "ขาขึ้น" ได้จริง ผลตอบแทนจะสูงมาก
ข้อแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นวัฏจักร ถ้าเป็น Growth Stock ส่วนใหญ่รายได้จะเติบโตประมาณ 10% ขึ้นไป และลูกค้าจะหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องอย่างเช่นหุ้นกลุ่มค้าปลีก แต่ถ้าเป็น Cyclical Stock รายได้จะโตมากกว่านั้น แต่ลูกค้าใช้บริการครั้งเดียวแล้วหยุดเลยอย่างเช่นพวกบ้านจัดสรร ปีนี้อาจจะดีแต่ปีหน้าไม่รู้แล้ว การคาดเดายากกว่าแต่ก็เป็นโอกาสให้เรามองเห็นช่องที่จะลงทุนได้
"ทุกครั้งหลังวิกฤติธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเสมอเพราะรัฐบาลจะเข้ามาอุ้มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกอย่างรถยนต์ตอนนี้เป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว" หมอสื่อว่าถ้าเรารู้จักสังเกตจะได้กำไรจากวิกฤติอย่างมาก
โฟกัสหุ้น 4 ตัว แทงหนักตัวที่ชอบ
วิธีการเลือกหุ้นของหมอบำรุงจะเลือกแบบโฟกัสหุ้นเพียง 4 ตัว แต่ในพอร์ตจะแบ่งเงินไม่เท่ากันจะใช้วิธีจัดอันดับและใส่เงินในหุ้นที่ "ชอบที่สุด..มากที่สุด" โดยจะดูที่ปัจจัยพื้นฐานก่อนว่าทำธุรกิจอะไร มีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง จุดแข็งคืออะไร วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค) ด้วย
หมอเลือกที่จะใช้เวลาในการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างหนักในตอนแรกเพื่อที่จะสบายในตอนหลัง โดยเฉพาะงบการเงินจะบอกถึง “สุขภาพ” ของบริษัทนั้นๆ ได้ดีที่สุดว่าคนคนนั้นอ่อนแอหรือแข็งแรง เก่งหรือไม่เก่ง เหมือนกับการวินิจฉัยโรคตามแนวทางของแพทย์
ในงบการเงินสิ่งที่หมอย้ำให้ต้องอ่านอันดับแรกคือ "ความเห็นผู้สอบบัญชี" ว่ามีคอมเมนท์พิเศษที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าเกินสามย่อหน้า (ตามมาตรฐานบัญชี) นี่ต้องระวังแล้ว
"ช่วงปีแรกๆ ผมไปซื้อหุ้นรอยเนท (ผู้บริหารแต่งบัญชี) เพราะดูแค่งบบรรทัดสุดท้ายกำไรสวยอย่างเดียวลืมดูความเห็นผู้สอบบัญชีที่บอกว่าไม่สามารถออกความเห็นได้ ปรากฏว่าจากนั้นขาดทุนมาตลอด"
ต่อมาคือการประเมิน "ผลกำไรในอนาคต" นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากกว่าไปตามข่าวในห้องค้าอย่างเช่นจะแจกวอร์แรนท์ เพิ่มทุน ควบรวมกิจการ บางทีก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าเราประเมินกำไรในอนาคตได้ยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ขอให้คิดแบบอนุรักษนิยมไว้บ้างอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากไป
ที่สำคัญที่สุดคือ "ราคา" หรือ "Valuation" ว่าถูกหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อหุ้นแพงแม้ว่าจะดีแค่ไหนเพราะเราจะไม่ได้กำไรแถมอาจขาดทุนด้วย ตัวอย่างรถเบ็นซ์ใครก็รู้ว่าดีแต่มีคนมาขายให้เรา 20 ล้านบาท คงไม่มีใครซื้อเพราะสามารถไปซื้อป้ายแดงที่ราคา 3-4 ล้านบาทก็ได้ แต่ถ้าซื้อของถูกมาก่อนเราสามารถขายต่อให้แพงขึ้นได้ถ้าหุ้นนั้นดีจริง...บทสรุปคือเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการให้ได้ (ไม่จำเป็นต้องเหมือนนักวิเคราะห์)
เขาให้ข้อสังเกตว่าหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมต่างกัน หุ้นที่ "หาเช้ากินค่ำ" คือทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ควรจะมีค่าพี/อี เรโชที่ 5-7 เท่า แต่หุ้นที่ "เติบโต" ควรมีมากกว่านั้น ส่วนในภาวะ "วิกฤติ" ค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3-4 เท่าถึงจะน่าลงทุน
คุณหมอย้ำว่าหุ้นที่ราคายุติธรรมมักจะไม่ใช่หุ้นตัวใหญ่ที่พวกนักลงทุนสถาบันกับนักวิเคราะห์จับตามอง แบบนั้นจะหาราคาถูกๆ ยาก หุ้นที่ Under Value อาจจะอยู่แบบรอดหูรอดตาเสมอ แต่ต้องระวังหุ้นสภาพคล่องต่ำไว้ด้วย
"พวกนักวิเคราะห์กับสถาบันเขายกหูคุยกับคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.) ได้แต่รายย่อยอย่างเราทำไม่ได้อย่าคิดไปแข่งเลย แต่ขอให้ดูหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสักวันละ 2-3 ล้านบาทขึ้นไปไม่งั้นเข้าออกลำบาก"
สัปดาห์หน้า..หมอบำรุงจะพาเราไปเจาะลึกถึง "เหตุ" และ "ผล" ในการตัดสินใจ "เลือกซื้อหุ้น" ที่ยกระดับให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนระดับ "ร้อยล้านบาท" จากหมอบ้านนอกสู่ "เซียนหุ้นวีไอ"
http://www.bangkokbiznews.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)