วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อัตราดอกเบี้ยทบต้น

ออมเพิ่มค่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้น
โดย : เมธา ปิงสุทธิวงศ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)

หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุกๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาทหรือ 57.28 เท่า

ช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้ออมเงินหลายคนคงต้องเหนื่อยกับการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งเงินฝากและกองทุน ที่ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้นำเสนอกันมากมายในตลาด เพื่อเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนว่าผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินใดจะให้ผลตอบแทนที่อัตราดีกว่ากัน แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ออมเงินสามารถได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์จากเงินฝากหรือเงินที่ลงทุนไว้

โดยในฉบับนี้ผมจะมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งเดิมทีถ้าใครได้ยินคำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” แล้ว ก็มักจะนึกไปถึงเรื่องในแง่ร้าย คือ เงินกู้ที่หากชำระล่าช้าแล้วจะถูกคิด “ดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก” ซึ่งก็สร้างความรู้สึกว่าหากถูกคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแล้วจำนวนเงินที่จะต้องชำระจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก

แต่หลายคนลืมมองกลับด้านว่าถ้าหากเป็นมุมของการออมเงินด้วยการฝากเงินหรือการลงทุนอื่นๆ ที่มีระยะยาว หรือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตามที่ผมได้กล่าวไว้ในฉบับที่ผ่านมาแล้ว คำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง และผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยคำนวณว่าจริงๆ แล้ว การลงทุนกับเงินก้อนหนึ่ง แล้วสมมุติว่าได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากเงินก้อนนั้นจะเป็นเท่าไหร่

ทั้งนี้การที่เราเริ่มต้นออมหรือลงทุน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนต่อปี โดยไม่ถอนออกมาหรือหากครบกำหนดก็มีการลงทุนต่อในจำนวนเงินที่ได้รับทั้งจำนวน (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ซึ่งจะทำให้เราจะมีผลตอบแทนที่ทบกับผลตอบแทนเดิมไปเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งนั่นก็คือหลักของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” นั่นเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ

โดยผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” มีความน่าสนใจและจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไร..ดังนี้ครับ

หากเรานำเงินมาลงทุน จำนวน 1 บาท ครั้งเดียว โดยได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนอยู่ที่ 20 ปี เงินลงทุน 1 บาทของเราจะมีมูลค่าในปีที่ 20 เพิ่มเป็น 6.73 บาท หรือคิดเป็น 6 เท่า เกือบ 7 เท่า เลยครับ แต่หากผลตอบแทนที่เรากำหนดไว้อยู่ที่ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเรามีมูลค่าสูงถึง 16.37 บาท หรือ 16.37 เท่าครับ

แต่หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุก ๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาท หรือ 57.28 เท่าเลยครับ ดังนั้นการลงทุนยิ่งถี่ยิ่งดีครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะโตมากขึ้นเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ 1. เงินลงทุนเริ่มต้น 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาที่ลงทุนครับ

ในอีกมุมหนึ่งหากเราเลือกที่จะฝากเงินกับสถาบันการเงิน โดยเลือกระยะเวลาฝากยาว 20 ปี อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งหากฝากเงิน 1 บาทในปีที่ 20 ผลตอบแทนที่ได้จะเท่ากับ 1.81 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับการเลือกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในการออมหรือการลงทุนนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะต้องมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยนะครับ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีการแพงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และหากเราเลือกลงทุนในส่วนที่ให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อหรือสูงกว่าเล็กน้อย ก็แสดงว่าการดำเนินชีวิตของเราจะยังอยู่ในระดับเดิม

แต่หากต้องการให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น ก็ต้องเลือกการออมหรือการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำเสนอก็มักจะกำหนดไว้ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้บ้างครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก อาทิ เช่น การลงทุนในหุ้นทุน กองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนทอง เป็นต้น แต่อย่าลืมคำนึงถึงเงินที่เราเอามาลงทุนด้วยนะครับว่าจะต้องไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินต้นที่เราลงทุนได้

สรุปแล้วเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับสำหรับการลงทุน ดังนั้นอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก และให้น้ำหนักกับการลงทุนในระยะยาว เพื่อผลตอบแทนที่จะเพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์ในอนาคตครับ
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ pr.tisco@gmail.com พบกันใหม่ตอนต่อไปครับ

http://www.bangkokbiznews.com/