วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สามดอกเตอร์สอนลูก เรื่อง 'เงิน' ส่งต่อ 'ความรวย'

สามดอกเตอร์สอนลูก เรื่อง 'เงิน' ส่งต่อ 'ความรวย'

วันที่ 19 กรกฎาคม 2553

กูรูด้านการลงทุน แนะวิธีส่งต่อความมั่งคั่งสู่ทายาท พร้อมวิธีสอนลูกใช้เงินอย่างคุ้มค่าและเป็นสุข

คนฟุ่มเฟือยชอบทำอะไรเกินตัว แม้จะร่ำรวยสุดท้ายก็มักขัดสน คนนิสัยประหยัด แม้จะยากจนก็มักมีเหลือเก็บ ความสำคัญของ "เงิน" อยู่ที่คุณค่าการใช้ ไม่ใช่ "ปริมาณ" สามดอกเตอร์สอนลูกเรื่องเงิน ส่งต่อ "ความรวย" ด้วยศาสตร์และศิลป์ เพราะพวกเขามองว่า..ชีวิตของลูกอยู่ในกำมือของพ่อแม่ตลอดชีวิตการลงทุนที่ผ่านมา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จะเลือกเฟ้นแต่เฉพาะหุ้น "เฟิร์สคลาส" (ชั้นหนึ่ง) ตรงกันข้ามกับวิถีการใช้ชีวิตจะใช้แบบ Economy (คุ้มค่า) โดยมองทุกอย่างที่ความคุ้มค่าของเงิน และประโยชน์ที่ได้รับกลับมา โดยจะไม่จ่ายอะไรที่แพงเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้น "การใช้จ่าย" เพื่อซื้อความสุข สำหรับ Value Investor จึงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงกูรูด้านการลงทุนหุ้นคุณค่าหมายเลขหนึ่งของเมืองไทย เล่าว่า วิธีสอนเรื่องการใช้เงินกับ "น้องแจน" น.ส.พิสชา เหมวชิรวรากร (นักศึกษาหลักสูตรนานาชาติ สาขาการจัดการการสื่อสารคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ) ลูกสาวคนเดียว ในฐานะพ่อจะทำตัวให้เป็นตัวอย่างมากกว่าบอกว่าลูกต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ส่วนตัวคิดว่าเด็กสมัยใหม่บางคนไม่ถูกกดดันให้ต้องหาเงินเองทำให้มีคำถามกลับมาว่าทำไมต้องประหยัดด้วย อย่างเช่นน้องแจนไปเที่ยวบ้านเพื่อนก็จะกลับมาถามว่าทำไมเราไม่สร้างบ้านให้ใหญ่เหมือนเขา (ทั้งๆ ที่รู้ว่าพ่อรวย) คนเป็นพ่อแม่จะต้องอธิบายให้เขาฟังด้วยเหตุผลว่าอะไรที่จำเป็นอะไรไม่จำเป็นดร.นิเวศน์ เคยเล่าว่า ทุกวันนี้ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านของดอกเตอร์เป็นบ้านชั้นเดียวเล็กๆ บนเนื้อที่ไม่กี่ตารางวา ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของแม่ยาย ทุกคนอยู่รวมกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ไม่มีพื้นที่สำหรับความเป็นส่วนตัว ไม่มีคนรับใช้ แต่บ้านหลังนี้ไม่เคยปราศจากไออุ่นของทุกคน"บ้านผมมีห้องเดียวนะ เป็นบ้านที่อยู่ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีตังค์เลย ตอนแต่งงานใหม่ๆ ชีวิตทำงานกินเงินเดือน ก็ไม่ได้มีตังค์มาก ทุกวันนี้ก็ยังอยู่บ้านหลังเดิม...ความสะดวกสบายในบ้านจริงๆ มีน้อย บ้านหลังเล็กมาก แต่ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ เพราะมาคิดดูอีกทีถามว่าไปอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ โตๆ ได้มั้ย มันก็ได้ แต่บ้านใหญ่โตไม่ได้ให้ความสุขกับเรามากไปกว่าบ้านหลังเล็ก ทุกคนใกล้ชิดกัน เจอหน้ากันทั้งวัน"หลักการเรื่องความคุ้มค่าของเงินจะต้องมาพร้อมกับ "ความสุข" เสมอ เรื่องนี้ ดร.นิเวศน์ เชื่อว่า สิ่งใดที่ต้องจ่ายแพงๆ แล้วจะต้องกลายเป็น "ทาส" ของสิ่งนั้น ตัวเอง "จะไม่ทำ" ยกตัวอย่างการซื้อรถยนต์ หรือซื้อบ้านราคาแพงๆ แล้วต้องเป็นทุกข์กับการทำความสะอาดบ่อยๆ แบบนี้ไม่ถือว่าเป็นความสุขจริงตรงกันข้ามกับของบางอย่างถ้าต้อง "จ่ายแพง" แลกกับประโยชน์ที่คุ้มค่าระยะยาวก็จำเป็น โดยเฉพาะเรื่อง "การศึกษาบุตร" สมัยเมื่อ 20 ปีก่อนยังไม่มีเงินมากเท่าตอนนี้ ตอนนั้นตัดสินใจส่งน้องแจนเรียนหลักสูตรอินเตอร์แม้ราคาจะแพงแต่มองว่านี่คือการลงทุน ที่จะออกดอกผลในอนาคต นอกจากนี้ยังมีเรื่องหนังสือดีๆ และอาหารการกินที่ไม่ควรจะประหยัดเกินไป แต่ถ้าของอย่างอื่นที่จำเป็นจริงๆ ก็ต้องซื้อ เช่น ล่าสุดเพิ่งซื้อมือถือ BlackBerry ให้ลูกไปเพราะอีกหน่อยไปเรียนเมืองนอกจะใช้คุยกับคนที่เมืองไทยได้ส่วนเรื่องของ "มรดก" ดร.นิเวศน์ เปิดเผยว่า น้องแจนเพิ่งจะรู้ไม่นานเองว่าพ่อมีพอร์ตหุ้นระดับ (เกิน) พันล้านบาทแล้วเขารู้จากเพื่อน ที่จริงไม่คิดที่จะปกปิดมีแผนที่จะค่อยๆ สอนเรื่องหุ้นให้กับลูกอยู่แล้ว แต่ขอแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะเด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหุ้น อาจจะตีความหมายผิดไปได้ว่าพ่อเป็น "คนรวย" (ไม่เห็นต้องดิ้นรน) ไม่อยากให้ลูกคิดแบบนี้
"อีกไม่นานเขาจะต้องเป็นผู้รับช่วงต่อพอร์ตหุ้นของผมทั้งหมดไปอย่างแน่นอน จากนี้ไปเป็นงานของผมที่ต้องค่อยๆ อธิบายแนวคิดการลงทุนให้เขารู้ ไม่ว่าในอนาคตเขาจะทำงานประจำหรือแต่งงานออกไปเป็นแม่บ้านอย่างเดียว"ในฐานะพ่อที่ทะนุถนอมพอร์ตหุ้นจนเติบใหญ่เลี้ยงมาไม่ต่างจากลูกรักอีกคน ดร.นิเวศน์ยังจะประคับประคองขอให้เป็นการตัดสินใจร่วมกันว่าควรจะขายหุ้นออกไปเมื่อไร คงไม่ให้ลูกตัดสินใจเพียงลำพัง แม้พ่อจะหาสมบัติไว้เป็นมรดกให้ลูกมากมายนับพันล้านบาท แต่พ่อคนนี้ก็ย้ำสอนกับลูกสาวคนเดียวของเขาว่า..."ลูกไม่จำเป็นต้องมี(หา)สามีรวยเพื่อให้ทัดเทียมกับเรา แต่ขอให้เลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขเป็นอันดับแรก แม้เขาจะจนกว่าเรา ขอให้มีความขยันอยู่ในตัวก็พอ" นัยหนึ่งพ่อต้องการสอน...ลูกต้องเป็น "นาย" ของเงิน อย่าเป็น "ทาส" ของเงิน มองคนที่ "คุณค่า" ไม่ใช่มองคนที่ "ราคา" เช่นเดียวกับหุ้นที่พ่อซื้อ 


ด้านคุณพ่อลูก(ชาย)สอง ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร แม้จะมีฐานะค่อนข้างมั่นคงมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก มีรายได้จากค่าที่ปรึกษากฎหมายภาษีเป็นรายนาที แต่มักสอนให้ลูกใช้เงินอย่างประหยัด "จ่าย" ให้น้อยกว่า "รับ" เป็นวิธีเดียวที่จะเก็บความมั่งคั่งเอาไว้ได้
ดร.สุวรรณ เคยเล่าว่าได้ตกลงกับภรรยาตั้งกองทุนให้ลูกทั้ง 2 คนๆ ละ 10 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกว่าจะใช้สำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือจะใช้เป็นทุนสำหรับเริ่มต้นชีวิต และสิ่งที่ครอบครัวนี้เลือกก็คือเก็บเงิน 10 ล้านบาท เป็นเงินก้นถุงของลูกแต่ละคน"ถ้าส่งลูกไปเรียนที่อังกฤษเสียค่าใช้จ่ายปีละ 1.6 ล้านบาท ส่งไปเรียนอเมริกาเสียปีละ 1.2 ล้านบาท ออสเตรเลียปีละ 8 แสนบาท นิวซีแลนด์ปีละ 6 แสนบาท  ถ้าเราส่งพวกเขาไปเรียน 10 ปี ก็ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าคนละ 10 ล้านบาท เราจึงตกลงกันว่าจะเก็บเงินส่วนนี้ให้พวกเขา"เหตุผล 3 ข้อของการไม่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกของครอบครัววลัยเสถียร หนึ่ง. ลูกโตขึ้นโดยที่เราไม่ได้ดูแล ไม่ได้อบรมบ่มนิสัยตั้งแต่เด็ก สอง. เรียนเมืองนอกเสียค่าใช้จ่ายมาก เงินส่วนนี้ควรเก็บเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ตั้งตัว และสาม. ลูกกลับมาจะกลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน ไม่มีรุ่น
ในช่วงวัยเรียน (วัยรุ่น) ขณะปิดภาคการศึกษา ดร.สุวรรณได้ส่งลูกชายไปฝึกงานเป็นพนักงานรับจองตั๋วที่โรงหนัง EGV เป็นการฝึกให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ตัดโอกาสเที่ยวเตร่ รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่งาน รู้คุณค่าและความยากลำบากของการหาเงิน และรู้รสชาติของการเป็นลูกจ้าง
ช่วงปิดภาคเรียนถัดๆ มา ได้ส่งลูกชายไปฝึกงานในแผนกบริการของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งหนึ่ง เพราะลูกชายเป็นคนชอบรถยนต์ ประสบการณ์ที่ได้คือความอดทนต่อการถูกตำหนิของลูกค้า รู้จักแก้ปัญหาในสถานการณ์คับขัน เหล่านี้เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่เป็น "วิชาเสริม" ให้ลูกได้ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเข้มแข็งประธานชมรมคนออมเงิน ในฐานะนักกฎหมายภาษีชั้นเซียน ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีแต่บุตรสาวและต้องการรักษาทรัพย์สินในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ไม่ให้ผู้ที่จะมาเป็น "ลูกเขย" ในอนาคตนำไปขาย ให้ใช้วิธี "จดสิทธิเก็บกิน" หรือผู้ทรงสิทธิอาศัยในชื่อพ่อแม่แทนที่จะใช้วิธีโอนที่ดินให้ลูกโดยตรง นอกจากมีค่าใช้จ่ายถูกเพียงแค่หลักร้อยบาทแล้วผลประโยชน์ในสินทรัพย์ยังตกอยู่กับผู้ทรงสิทธิคือพ่อแม่ไม่ตกกับเจ้าของ แต่พอเราเสียชีวิตอสังหาริมทรัพย์นั่นก็ยังเป็นมรดกตกทอดให้ลูกๆ อยู่ดี"ผมจะพูดกับลูกเสมอว่าเรียนไม่เก่งไม่เป็นไรแต่ขอให้เรียนจบขั้นต่ำต้องปริญญาตรี และสำคัญมากห้ามไปเซ็นค้ำประกันให้กับใคร แม้ส่วนตัวจะเป็นที่ปรึกษาภาษีให้เศรษฐีหลายคน แต่ก็สอนลูกๆ ทุกคนว่าโตขึ้นต้องไม่เลี่ยงภาษี"สำหรับแผนการถ่ายโอนมรดกให้ลูกจะไม่นิยมเก็บในรูปของเงินสด แต่นิยมซื้อที่ดินเก็บไว้ ปัจจุบันมีที่ดินแปลงใหญ่ซึ่งเป็นบ้านพักในปัจจุบันอยู่ที่สุขุมวิทซอย 8  (ซอยปรีดา) พื้นที่ 100 ตารางวา ที่เตรียมจะส่งต่อให้กับลูก ส่วนตัวคิดต่างจาก ดร.นิเวศน์ตรงที่ ถ้ามีเงินมากพอก็ควรจะ "ซื้อความสุข" ให้กับชีวิต อย่างบ้านก็จะทำใหญ่ๆ เพราะชอบอยู่สบายกว่าหลังเล็กนอกจากนี้ ยังชอบเก็บ "ทองคำ" ในระยะยาวมีความมั่นคงสูงและให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล เห็นได้ว่า 10 ปีย้อนหลังทองคำให้ผลตอบแทน 10% ทุกปี นอกจากนี้ยังลงทุนหุ้น TISCO ในชื่อลูกชาย ชาลี วลัยเสถียร ถืออยู่ 3,937,220 หุ้น สัดส่วน 0.54% (ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 115 ล้านบาท) รอรับเงินปันผลปีละ 2 บาทต่อหุ้น แค่นี้ก็พอใช้ทั้งปีแล้วจากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ยังพบว่า ดร.สุวรรณ ลงทุนหุ้น S&P ในชื่อชาลี  786,900 หุ้น ราคาตลาดเกือบ 32 ล้านบาท ลงทุนหุ้น TNDT ในชื่อ ดวงใจ วลัยเสถียร ภรรยา 600,000 หุ้น มูลค่า 3 ล้านบาท และลงทุนหุ้น SVI ในชื่อลูกชาย 10,087,284 หุ้น มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท และเก็บหุ้น SVI ในนามส่วนตัวอีกเกือบ 5.58 ล้านหุ้น เป็นต้นดร.สุวรรณ บอกด้วยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ซื้อหุ้น SVI จำนวน 4 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 2 บาท (ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริษัท) เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตสามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้ เพราะบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ส่วนแนวโน้มราคาทองคำคาดว่าจะผันผวนสูงเพราะวิกฤติหนี้ที่ยุโรปยังไม่น่าไว้วางใจ แต่สิ้นปีน่าจะได้เห็นที่ระดับ 1,350 ดอลลาร์ต่ออออนซ์ ครึ่งปีหลังหุ้นกับอสังหาริมทรัพย์ยังน่าลงทุนกว่าพันธบัตร

คนสุดท้ายนักลงทุนหุ้นคุณค่าพอร์ตระดับร้อยล้านบาท นพ.บำรุง ศรีงาน ประธานชมรมไทยวีไอ บอกว่า เงินเป็นทาสที่ดีของเรา แต่เป็นนายที่แย่ เท่ากับว่าเงินเป็นดาบสองคมมีทั้งคุณและโทษ ก่อนจะใช้ต้องระวังไว้เสมอ ปัจจุบันคุณหมอมีลูก 3 คนยังเล็กอยู่จะใช้วิธีสอนเรื่องเงินสามขั้นตอนคือ หนึ่ง ให้รู้จักว่าเงินสำคัญอย่างไร สอง สอนวิธีการหาเงิน และ สาม สอนวิธีการใช้เงิน ถ้าปลูกฝังแนวคิดนี้ลูกๆ จะเห็นว่าเงินหายากก็จะใช้ยากด้วยถ้าลูกๆ อยากจะได้สิ่งของอะไร จะต้องมีผลงานมาโชว์ด้วยเช่น ผลการสอบ เวลาที่จะซื้อของอะไรก็ตามจะสอนลูกด้วยว่าสิ่งที่ต้องจ่ายมากขึ้น คุ้มค่าหรือไม่ อย่างทุกวันนี้ยังขับรถโตโยต้า คัมรี่ และไม่มีการแต่งรถเลย เพราะมองว่าออปชั่นต่างๆ ที่ต้องซื้อเพิ่มมันแพงเกินควรตอนนี้ลูกๆ ทั้งสามของคุณหมอยังเล็กอยู่ แต่อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ เตรียมแผนการปลูกฝังเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือแวลูอินเวสเตอร์ให้ลูกๆ แล้ว คิดว่าจะเริ่มหลังจากมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากขึ้น อาจจะหลังจบปริญญาตรีสัก 2-3 ปีแต่ก่อนจะถึงตอนนั้น คุณหมอวางแผนจะลงทุนหุ้นให้กับลูกเพื่อรับประกันความมั่งคั่งในอนาคต ทำไมต้องเป็นหุ้น? เขาบอกว่าหุ้นเป็นสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญพอสมควร และยิ่งลงทุนนานจะให้ผลตอบแทนดีกว่าอย่างอื่น จะให้ลงทุนทองคำก็ไม่ค่อยมีความรู้มากนักส่วนตัวมองว่าการวิเคราะห์หุ้นมันลึกกว่าทองคำที่มีปัจจัยแค่ดีมานด์-ซัพพลาย แต่หุ้นต้องคำนึงถึงผู้บริหารด้วย เหมือนอย่างที่เข้าซื้อหุ้น SAT ตั้งแต่ราคา 5-6 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 20 บาท นอกจากเห็นว่าตลาดรถยนต์ของไทยจะโตแล้วยังเชื่อว่าผู้บริหารมีความสามารถด้วย ก่อนจะมากำไรหุ้น SAT คุณหมอก็กำไรหุ้น STPI มาก่อน "หลายเท่าตัว" รวมถึงหุ้น STANLY ด้วยhttp://www.bangkokbiznews.com/

ซูเปอร์สตาร์ 'ฮาร์วาร์ด'­ กับ ชีวิตที่พลิกผัน

ซูเปอร์สตาร์ 'ฮาร์วาร์ด กับ ชีวิตที่พลิกผัน

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศ.ดร.วรภัทร โตธนะเกษม

เมื่อปี พ.ศ.2540 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้รับนักศึกษาอเมริกันคนหนึ่ง เข้าเรียนในหลักสูตร MBA ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มีชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วโลก
เขาเป็นชายหนุ่มอเมริกันเชื้อชาติอินเดีย ผู้มีชื่อว่า ซาเมอร์ บาไร (Samir Barai)
ซาเมอร์ เป็นบุคคลพิเศษ และเป็นนักศึกษาที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง เหตุเพราะเขามีความพิการทางหูตั้งแต่กำเนิด โดยหูของเขาหนวกเกือบสนิท ความสามารถในการรับฟังหายไปถึง 96% แต่ด้วยความมุ่งมั่นของเขาเอง และด้วยสังคมอเมริกันเปิดโอกาสให้แก่คนพิการ เขาจึงได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้โดยตลอด จนได้เข้าเรียนและสำเร็จระดับปริญญาตรีทางบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง คือมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก

สำหรับการเรียนในหลักสูตรเอ็ม บี เอ ที่ฮาร์วาร์ด นั้น ใครๆ ก็ทราบว่านักศึกษาจะต้อง อภิปรายถกเถียงปัญหากันในชั้นเรียนอย่างหนัก และมีคะแนนการอภิปรายปัญหา สูงถึง 50% ดังนั้นการที่ซาเมอร์หูพิการ แล้วเขาจะเรียนได้อย่างไร ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นที่กังวลของฮาร์วาร์ด เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ก่อนเขาเข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ด นั้น ซาเมอร์ ได้เข้าทำการผ่าตัดโดยใช้เทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งช่วยให้เขาได้ยินเสียงเพิ่มขึ้นบ้าง และในห้องเรียน เขาก็พยายามทำความเข้าใจคำสอนของอาจารย์ รวมทั้งคำอภิปรายของเพื่อนๆ โดยดูการเคลื่อนไหวของริมฝีปาก และยังมีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งนั่งเคียงข้างเขา ตลอดเวลา เพื่อคอยอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างถูกต้อง

เมื่อเป็นนักศึกษาพิการ และต้องต่อสู้ถึงเพียงนี้ ผู้คนและเพื่อนฝูงรอบข้าง จึงให้ความสนใจและเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเขาเป็น ซูเปอร์สตาร์ คนหนึ่งของรุ่น นั่นแหละ และอีกสองปีต่อมา ในปี พ.ศ.2542 ซาเมอร์ก็สำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาโท เอ็ม บี เอ จากฮาร์วาร์ด จึงกล่าวได้ว่า เขาเป็นสุดยอดของตัวอย่างการต่อสู้ชีวิตจนประสบความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ และจากนั้นเขาก็เติบโตอย่างต่อเนื่องในการทำงานจนได้ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ ที่ซิตี้แบงก์ ก่อนที่จะลาออกมา ตั้งบริษัทจัดการลงทุนเป็นของตนเองที่นครนิวยอร์ก  โดยให้ชื่อว่า “Barai Capital”
 ชีวิตของซาเมอร์ เหมือนฝันที่เป็นจริง  และชีวิตของเขาก็น่าที่จะดำเนินต่อไปอย่างน่าประทับใจ ถ้าหากไม่เกิดเหตุพลิกผันเสียก่อน คือเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554  หนุ่มใหญ่วัย 39 ปี ซาเมอร์ ซูเปอร์สตาร์ จากฮาร์วาร์ด ได้ถูกจับดำเนินคดี ที่นครนิวยอร์ก ในข้อหาลงทุนโดยใช้ข้อมูลภายใน

 ซาเมอร์ จึงเป็น ฮาร์วาร์ด เอ็มบีเอ คนล่าสุด ที่เข้าไปมีรายชื่อร่วมกับรุ่นพี่ ซึ่งเป็นซูเปอร์สตาร์ ฮาร์วาร์ด อีกจำนวนหนึ่ง ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาต่างๆ เช่น เจฟฟรี่ สกิลลิ่ง อดีตซีอีโอ ของเอนรอน บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ล่มสลายไปแล้ว เป็นต้น แต่ถ้าจะให้เป็นการยุติธรรม กับฮาร์วาร์ดแล้ว ผมก็ต้องกล่าวไว้ ณ ที่นี้ ด้วยว่า ซูเปอร์สตาร์ เอ็มบีเอ จากสถาบันอื่นที่โด่งดัง เช่น  Kellogg หรือ Wharton ฯลฯ ก็มีผู้ถูกจับดำเนินคดีเพราะทุจริตต่อหน้าที่ มาแล้ว เช่นกัน

 คนเราเวลาเก่งมากๆ ถ้าหากนำความเก่งไปใช้ในทางที่ผิด ก็นับว่าเป็นอันตราย และสร้างความเสียหายต่อสังคมได้มาก เรื่องราวของ ซูเปอร์สตาร์เหล่านี้ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ดังนั้น มหาวิทยาลัยที่สอนวิชาบริหารธุรกิจจึงมีความวิตกกังวลกันอย่างยิ่งว่า ทำอย่างไร จึงจะสอนคนให้ออกมาเป็นนักบริหารที่ทั้งเก่ง และดีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักสูตรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง ฮาร์วาร์ด เคลล็อก วาร์ตัน สแตนฟอร์ด ฯลฯ ซึ่งรับนักศึกษาที่ เก่งมากๆจากทั่วโลก ก็ถูกจับตามองว่าสถาบันเหล่านี้ จะเผชิญกับความท้าทายนี้ อย่างไร

 วิชาจริยธรรมธุรกิจ กลายเป็นวิชาหลัก ซึ่งทุกสถาบัน ต่างบรรจุไว้ในหลักสูตร แต่ก็ไม่มีใครคาดหวังได้ว่าจะได้ผลเต็มที่ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกสังคม ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ปะปนกันไป ดังนั้น เมื่อมหาวิทยาลัยรับนักศึกษาเข้าเรียน ปีละเป็นพันคน จึงไม่น่าประหลาดใจอะไร ถ้าหากจะมีสักคนหรือสองคน ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
 เดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ เป็นช่วงเวลาที่ มหาวิทยาลัยระดับสุดยอด เอ็มบีเอ ของอเมริกา ประกาศรายชื่อผู้ที่ ได้รับการคัดเลือกให้เข้าเป็น นักศึกษาใหม่ จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการ ลุ้นของผู้สมัครจากทั่วโลก (ซึ่งทุกคนต่างมีคะแนนการเรียนและการสอบที่ สูงมากๆ ทั้งนั้น) สำหรับคนที่ผ่านเข้าไปในรอบสอบสัมภาษณ์ ก็ดีใจกันทั่วหน้า แต่เมื่อผลการสอบสัมภาษณ์ ออกมา ปรากฏเป็นข่าวว่า ผู้สมัครซึ่งมีคะแนนสอบข้อเขียนดี และมีประสบการณ์ รวมทั้งผลการทำงาน ในระดับสุดยอด จากบริษัทลงทุน และ บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่วอลล์สตรีท นั้น ฮาร์วาร์ด รับเข้าเรียนในสัดส่วนที่น้อยกว่าปีก่อนๆ ค่อนข้างมาก กล่าวคือมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ได้รับจดหมายปฏิเสธ หรือ แจ้งว่ารับเป็นตัวสำรอง เท่านั้น จำนวนสูงขึ้นอย่างชัดเจน นับว่าเป็นที่ฮือฮากันในวงการทีเดียว และต่างถามกันให้แซดว่า ฮาร์วาร์ด กำลังคิดอะไรอยู่?

ผู้เชี่ยวชาญหลายคน คาดว่าคงเป็นเพราะ ฮาร์วาร์ด เพิ่งจะได้คณบดีคนใหม่ ซึ่งเน้นย้ำในเรื่องจริยธรรมธุรกิจ และมีนโยบายส่งเสริมให้มีนักบริหารเก่งๆ เพิ่มมากขึ้นในวงการอื่นๆ นอกเหนือจาก วอลล์สตรีท เช่น ในวงการสุขภาพ หรือ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือองค์กรพัฒนาสังคม และสถาบันทหาร เป็นต้น ดังนั้นปีนี้ จึงเริ่มเห็น การรับนักศึกษาที่มาจากบริษัทลงทุน หรือบริษัทที่ปรึกษาขนาดใหญ่ มีสัดส่วนน้อยลงจากเดิม

 การที่ซูเปอร์สตาร์ ประพฤติผิดนั้น ผมว่าเราจะไปโทษสถาบันการศึกษาเสียทั้งหมด ก็คงไม่ได้ เพราะนักศึกษา เข้าไปใช้ชีวิตที่นั่นเพียงสองปีเท่านั้น ต่อให้มีอาจารย์ระดับโลกสักกี่คน ก็คงไม่สามารถขัดเกลา พวกเขาให้เป็นคนดี ได้ทุกคน นอกจากนั้นทุกวงการ ก็ย่อมมีคนไม่ดี แทรกอยู่เสมอ ดังนั้น ซาเมอร์ จึงเป็นเพียงซูเปอร์สตาร์ อีกคนหนึ่ง ที่ผ่านมา และ ก็จะผ่านไป เพื่อรอวันเวลาที่ ซูเปอร์สตาร์ คนใหม่ ที่จะตกเป็นข่าวในทำนองเดียวกันอีก เท่านั้น

 ก่อนจบ ก็อยากจะบอกคุณผู้อ่านไว้อีกสักนิดว่า ความจริงแล้ว นอกจาก ฮาร์วาร์ด จะมี เอ็ม บี เอ ซูเปอร์สตาร์ ที่ชีวิตพลิกผันจนถูกจับดำเนินคดี อย่าง เจฟ สกิลลิ่ง หรือ ซาเมอร์ บาร์ไร แล้ว ฮาร์วาร์ด ก็ยังเคยมีนักศึกษาอีกสองคน ซึ่งเป็นนักศึกษาที่มีปัญหา ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ จนทำให้เรียนไม่สำเร็จ ต้องลาออกจากฮาร์วาร์ด กลางคัน เป็นพวกดร็อปเอาท์ นั่นแหละครับ
คนแรกมีชื่อว่า บิล เกตส์  และอีกคนชื่อ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก

เห็นชื่อแล้ว ใครอยากเป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ด ที่เรียนไม่จบ บ้างครับ