ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
13 กุมภาพันธ์ 2561
การปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐและอีกหลายตลาดทั่วโลก (ยกเว้นตลาดหุ้นไทย) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต้องถือว่ารุนแรงและน่ากลัวเนื่องจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์ได้ปรับตัวลงมาถึง 2,326 จุดหรือลดลง 8.88% ในเวลาทำการเพียง 6 วัน จากวันที่ 2 ถึง 9 กุมภาพันธ์ 2018 แต่ถ้านับย้อนหลังไปถึงวันที่ 26 มกราคม 2018 ที่ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 26,617 จุด การปรับตัวลงมารอบนี้ก็ลดลงมาถึง 10% ในเวลาอันสั้น เหตุผลที่ทำให้หุ้นตกนั้นน่าจะเกิดจากการที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่ต่ำมากที่ดำรงมาประมาณ 10 ปีหลังจากวิกฤติซับไพร์มของอเมริกานั้นดูเหมือนว่าจะเริ่ม “กลับทิศ” ซึ่งทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นหวั่นเกรงว่าการปรับตัวของหุ้นที่ขึ้นต่อเนื่องมา 10 ปีอย่างรวดเร็วและมั่นคงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นั้นอาจจะถึงเวลาสิ้นสุดลง นักลงทุนซึ่งรวมถึงหุ่นยนต์เทรดหุ้นทั้งหลายจึงเทขายหุ้นกันอย่างหนัก
แต่นักลงทุนคนหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ได้ขายหุ้นและ “เจ็บตัว” มากที่สุดคนหนึ่งก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ความเสียหายของเขาตกอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินบาทก็ประมาณไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านบาท ในเวลาเพียง 5-6 วันทำการ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของเขาก็ยังอยู่ที่ประมาณ 84,000 ล้านเหรียญ ใกล้จุดสูงสุดในชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์ ดังนั้น เขาคงไม่สะเทือนอะไรนัก น่าจะเรียกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้น ผมเองคิดว่าบัฟเฟตต์เองก็ไม่ได้เสียใจอะไรนัก เพราะนี่ไม่ใช่การ “ขาดทุนจริง” มันเป็นเพียง “ตัวเลข” ที่ลดลงซึ่งในที่สุดถ้าบริษัทที่เขาลงทุนยังดีเหมือนเดิม ราคาหุ้นก็จะกลับขึ้นมาเอง ว่าที่จริงบัฟเฟตต์อาจจะดีใจด้วยซ้ำ เพราะเขามีเงินสดเหลืออยู่มาก เพราะฉะนั้น เขาก็จะสามารถเข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลงซึ่งจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ในฐานะที่เป็นนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุน “ตลอดชีวิต” การที่หุ้นมีการปรับตัวขึ้นลงนั้นเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องรับกับมันให้ได้เป็นอย่างดี เราไม่ต้องดีใจหรือเสียใจเพราะมันมักไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนไปจากความเป็นจริงที่ว่า ในเรื่องของการลงทุนนั้น สำหรับแต่ละคนจะมีความมั่งคั่งมากน้อยเท่าไรในชีวิตนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับ “ความสว่างไสวของดวงแก้ว 3 ดวงของแต่ละคน” นั่นคือ 1) จำนวนเงินต้นจากแหล่งอื่นที่นำมาลงทุน 2) ผลตอบแทนระยะยาวแบบทบต้นของการลงทุนแต่ละปี และ 3) ระยะเวลาที่ลงทุน ใครมีเงินต้นมาก ได้ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีสูง และมีระยะเวลาการลงทุนนานเท่าไร เขาก็จะรวยหรือมั่งคั่งมากขึ้นเท่านั้น
ผมลองตรวจสอบแบบหยาบ ๆ จากข้อมูลการลงทุนของบัฟเฟตต์แล้วก็พบความจริงที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
บัฟเฟตต์เองน่าจะมีแก้วดวงแรกที่สว่างพอสมควรแต่ก็ไม่ได้สว่างมาก จริงอยู่ ครอบครัวของบัฟเฟตต์ในช่วงที่เขาเริ่มลงทุนนั้นน่าจะเป็นคนมีฐานะพอสมควร เพราะพ่อของเขานั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอเมริกาหลายสมัยและยังเป็นเจ้าของธุรกิจคือเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่เคยได้เงินจากพ่อ เขาหาเงินเองมาตั้งแต่เด็กโดยการทำงานสารพัดรวมถึงการลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ หลายอย่าง หลังจากเข้ามาลงทุนเป็นอาชีพโดยการรับบริหารเงินกองทุนนั้น เขาก็ได้ส่วนแบ่งกำไรเป็นกอบเป็นกำเนื่องจากทำผลงานได้ดี โดยสรุป ผมประมาณว่าเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของบัฟเฟตต์นั้นน่าจะอยู่ประมาณล้านเหรียญเศษ ๆ ซึ่งในความคิดผมก็คือมากพอสมควรในยุค 60 ปีก่อน พูดง่าย ๆ ดวงแก้วดวงแรกของบัฟเฟตต์นั้น ไม่ได้สว่างมากแต่ก็ไม่เลวทีเดียว คนทั่วไปที่มีความสามารถสูงและประหยัดอดออมก็น่าจะสามารถทำได้
ดวงแก้วดวงที่สองหรือผลตอบแทนทบต้นต่อปีของการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นต้องถือว่าสว่างไสว “สุดยอด” หาคนเทียบได้ยาก อย่างไรก็ตามมีข้อน่าสังเกตที่ผมพบว่าเป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ของการลงทุนนั่นก็คือ ความสว่างไสวนั้นจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อพอร์ตหรือเม็ดเงินลงทุนโตขึ้น สถิติผลตอบแทนการลงทุนในช่วงแรกของบัฟเฟตต์คือช่วงที่กองทุนยังจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนบัฟเฟตต์ตั้งแต่ปี 1957-1969 เป็นเวลา 13 ปีนั้น บัฟเฟตต์ทำผลงานได้ถึงปีละ 29.5% แบบทบต้นซึ่งถือว่าเป็นผลงาน “สุดยอด” อย่างไรก็ตาม สถิตินี้ผมคิดว่า VI ไทยจำนวนไม่น้อยสามารถทำได้ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 1970-1989 เป็นเวลา 20 ปีนั้น เครื่องมือที่ใช้ในการลงทุนของบัฟเฟตต์ก็คือบริษัทเบิร์กไชร์แฮทเธอเวย์ บัฟเฟตต์สามารถลงทุนทั้งแบบเทคโอเวอร์ธุรกิจและซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และทำผลตอบแทน “ยอดเยี่ยม” ถึงปีละประมาณ 22% แบบทบต้น นี่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและด้วยเม็ดเงินจำนวนมากซึ่งผมคิดว่าจะหาคนที่สามารถทำได้ยากมาก และในช่วงปลายยุคนี้ทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็น “ซุปตาร์” ของวงการลงทุน เป็นทั้งเซียนและคนที่รวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศและของโลก
ตั้งแต่ปี 1990 ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 28 ปีนั้น บัฟเฟตต์มีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลและกลายเป็น “เซเล็บ” ในแวดวงการลงทุนและในหมู่ประชาชนทั่วไปไม่มีใครไม่รู้จักบัฟเฟตต์ การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของบัฟเฟตต์เป็นที่จับตามองของสื่อ บทบาทของบัฟเฟตต์ก็คือการเป็น “ผู้นำมากบารมีของนักธุรกิจและนักลงทุน” อย่างไรก็ตามเขาก็ยังลงทุน “เต็มร้อย” แม้ด้วยวัยที่สูงถึง 85 ปีแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ ผลงานของบัฟเฟตต์ก็ยังดีเยี่ยมที่ประมาณ 14.6% ต่อปีแบบทบต้น ตัวเลขนี้หลายคนโดยเฉพาะนักลงทุนรายเล็กของเมืองไทยอาจจะมองว่าไม่สูง แต่ความจริงก็คือมันสูงมากถ้ามองว่าเป็นผลตอบแทนระยะยาวเกือบ 30 ปีและด้วยพอร์ตขนาดมหึมา
ถ้ามองการเติบโตของเม็ดเงินในแต่ละช่วงของกองทุนของบัฟเฟตต์โดยคิดว่าเขามีเงินเริ่มต้น 1 ล้านเหรียญ ในช่วงแรกความมั่งคั่งของเขาก็จะกลายเป็น 28.8 ล้าน พอสิ้นสุดช่วงที่สอง ก็จะกลายเป็น 1537.2 ล้าน จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในช่วงที่ 3 ก็กลายเป็น ประมาณ 70,000 ล้านเหรียญ ถ้าคิดผลตอบแทนตลอดทั้ง 3 ช่วงเป็นเวลาประมาณ 61 ปี ผลตอบแทนที่บัฟเฟตต์ทำได้ก็อยู่ที่ประมาณ 20% ต่อปีแบบทบต้นโดยที่ความผันผวนปีต่อปีที่รวมถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นแทบจะไม่มีผลอะไรต่อผลตอบแทนระยะยาวและความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์เลย
สิ่งสำคัญที่แทบจะไม่แพ้ผลตอบแทนต่อปีของการลงทุนหรือแก้วดวงที่ 2 ก็คือแก้วดวงที่ 3 หรือระยะเวลาของการลงทุน บัฟเฟตต์ลงทุนต่อเนื่องมา 61 ปี โดยที่มีช่วงสั้น ๆ ประมาณ 2-3 ปีเท่านั้นที่เขา “ออกจากตลาด” ไปเนื่องจากความกังวลเรื่อง “ฟองสบู่” ของตลาดหุ้นและคิดว่าตนเองรวยพอแล้วและ “อาจจะมีสิ่งอื่นในชีวิตที่น่าทำกว่า” ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์นั้นมีแก้วดวงที่ 3 ที่สุกสว่างมากไม่แพ้แก้วดวงที่ 2 และด้วยแก้ว 3 ดวงที่สว่างไสวมากนี้เองที่ทำให้บัฟเฟตต์ร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของโลกมายาวนานกลายเป็น ตำนานที่ยังมีชีวิตของนักลงทุนเอกของโลก
ประสบการณ์และชีวิตการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้ แน่นอน เราคงไม่รวยเท่าเขา แต่ถ้าเรามีความตั้งใจ ปรับแก้วทุกดวงของเราให้สว่างพอแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวของบัฟเฟตต์แล้ว ความสำเร็จและความมั่งคั่งก็รอเราอยู่ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาแต่ถ้ามันเป็นเวลาที่มีความสุขเราก็ไม่ต้องเดือดร้อนกระวนกระวายแม้ว่าบางช่วงบางตอนหุ้นจะ “ตกลงมาอย่างหนัก” และทั้งหมดนี้ผมก็พูดเพื่อปลอบและเตือนใจให้ทุกคนทำตัวให้สบายในกรณีที่หุ้นตกหนัก จำไว้ว่า “แล้วมันก็จะผ่านไป”
Source: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/643896
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
โลกยุค 5G
โลกยุค 5G จากยักษ์โทรคมนาคมญี่ปุ่น
โดย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
เผยแพร่: 12 ก.พ. 2561 17:15:00
WWW.manager.co.th
สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของภาคเอกชนและสำนักงาน กสทช. ได้จัดการสัมมนาประจำปี 2561 เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G และประเทศไทย 4.0 ขึ้น โดยมีผู้บริหารของ NTT DOCOMO ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการปรับตัวของอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ยุค 5G
อย่างที่เราทราบกันดีว่า 5G จะมีความเร็วสูงระดับกิกะบิตซึ่งเร็วกว่า 4G หลายสิบเท่าตัว แต่คุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างอีก 2 ประการคือ ความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำมากในระดับหนึ่งส่วนพันวินาที ทำให้ประยุกต์ใช้กับการควบคุมทางไกลได้ฉับไว เช่น การกู้ภัย การควบคุมเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ หรือแม้แต่การแพทย์ทางไกล และอีกคุณสมบัติหนึ่งก็คือการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อได้นับล้านๆ ชิ้นต่อตารางกิโลเมตร จึงสามารถรองรับยุค IoT (Internet of Things) ที่อุปกรณ์ของใช้ของมนุษย์ล้วนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
5G จึงเป็นตัวพลิกโฉมอุตสาหกรรมการสื่อสารซึ่งเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว
ปัจจุบันทิศทางของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปมาก จากเดิมรายได้หลักมาจากการโทร.ออกรับสายในยุค 2G และเปลี่ยนมาเป็นรายได้จากการรับส่ง data ในยุค 3G และ 4G ตามลำดับ แต่แนวโน้มจำนวนคนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นช้าลงกว่าเดิม และทิศทางรายรับรวมเริ่มเป็นขาลง แม้คนจะใช้งาน data จากการ upload/download video กันมากขึ้นก็ตาม แต่สำหรับ NTT DOCOMO แล้ว ได้ปรับตัวล่วงหน้าโดยผสานธุรกิจ Smart Life ต่างๆ เข้ามาในบริการ เช่น การให้บริการเนื้อหารายการหรือการถ่ายทอดสด การให้บริการทางการเงินหรือการชำระเงิน การให้บริการเชื่อมต่อ IoT กับลูกค้าองค์กร การให้บริการสนับสนุนข้อมูลสุขภาพ การให้บริการอุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น และรายได้จาก Smart Life Domain นี้มีทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้รวมของบริษัทพลิกกลับเป็นขาขึ้นได้
ทิศทางหลักของการให้บริการในยุค 5G จึงต้องมุ่งไปที่การสร้างพันธมิตร สร้างความร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ solution ใหม่ๆ สำหรับธุรกิจและสังคม รูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น B2C (Business to Customer) หรือ B2B (Business to Business) เป็น B2B2C หรือแม้แต่ B2B2G (Government) เป็นต้น
ในปัจจุบัน NTT DOCOMO มีพันธมิตรแล้ว 394 องค์กรและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
สิ่งที่ขับเคลื่อนความสัมพันธ์นี้คือ 'ข้อมูล' ในยุค IoT อุปกรณ์หลักคือตัวเซ็นเซอร์ ที่คอยตรวจวัดข้อมูลที่ต้องการ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ หรือตรวจวัดสิ่งอื่นๆ แล้วส่งข้อมูลมาประมวลผล นอกจากจะแจ้งผลการประมวลไปที่ปลายทาง ซึ่งอาจจะเป็นเกษตรกร ผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือองค์กรพันธมิตรแล้ว ระบบนิเวศนี้ยังทำให้เรามี Big data ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดได้อีกมากมาย
แต่เดิม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นลักษณะการสมัครบริการที่มีอายุตามสัญญาใช้บริการ เมื่อเลิกสัญญาจำนวนลูกค้าก็ลดลง และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ได้อีกต่อไป ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น e-commerce หรือ Social Network ต่างๆ กับสมาชิกของตน ที่แม้จะหยุดการใช้งาน แต่ถ้ายังไม่แจ้งออกจากการเป็นสมาชิก ก็ยังนับเป็นลูกค้าอยู่ จำนวนสมาชิกจึงมีทิศทางเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ในภาพรวมได้ต่อไป
NTT DOCOMO จึงเปลี่ยนแนวคิดจาก subscriber มาเป็น member และได้พัฒนาระบบบัญชีสมาชิก +d account และมีการสะสมคะแนน +d point ทำให้ผู้ใช้งานเข้าสู่ +d market เพื่อเป็นระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจ
5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต
5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต
องค์กรพันธมิตรก็จะได้ประโยชน์จากระบบนิเวศนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อสมาชิกจะใช้บริการอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงินหรือบริการรายการบันเทิงหรือบริการอื่นๆ ก็ยังทำผ่านระบบสมาชิกนี้ จึงมีการเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกในด้านต่างๆ ไว้ และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อที่จะได้เสนอหรือพัฒนาบริการให้เหมาะสมยิ่งขึ้นไป บริการในระบบนี้ ซึ่งรวมถึงบริการของ NTT DOCOMO และบริการขององค์กรพันธมิตร จึงเป็นระบบที่เกื้อหนุนทุกฝ่าย รูปแบบบริการ Smart Life Domain ก็จะทดแทนการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเก่าที่มีแต่การโทร.ออกรับสายและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น
ในส่วนการให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการนั้นคงจะเกิดขึ้นไม่เกินปี พ.ศ. 2563 แต่เราจะเห็นการทดลองบริการ 5G ก่อนหน้านั้น ในมหกรรมกีฬาระดับโลกต่างๆ อย่างเช่น การแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2561 ที่พย็องชังประเทศเกาหลี การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก 2562 ที่กรุงโตเกียว และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2563 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งเราจะได้เห็น use case ของ 5G จริง ที่ไม่ใช่เพียงแต่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายในยุค IoT
ในด้านการถ่ายทอดรายการต่างๆ ก็จะมีความตระการตามากกว่าเดิม ไม่ใช่ในแง่ของความละเอียดของภาพอย่าง HD ไปสู่ 4K หรือ 8K เท่านั้น เพราะความละเอียดที่มากกว่า 8K ก็คงไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้กับสายตาของมนุษย์สักเท่าใด แต่จะมีการผสานกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) หรือ VR (Virtual Reality) เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม
จะเห็นได้ว่า 5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแทบเล็ต การประยุกต์ใช้ 5G จะทำให้การใช้งานโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นมหาศาล และสามารถเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตในสังคม โดยรูปแบบการให้บริการต้องมีการผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างลงตัว อย่างเช่น บ้านหรืออาคารอัจฉริยะ เมืองอัจริยะ อุปกรณ์อัตโนมัติ หรือแม้แต่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หุ่นยนต์ที่ควบคุมทางไกลผ่าน 5G หรือหุ่นยนต์ที่มี AI เป็นต้น
เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคต่างๆ มีช่วงอายุอยู่ที่ประมาณ 10 ปี ไม่ว่าจะเป็น 2G 3G หรือ 4G ซึ่ง 4G ก็เปิดให้บริการในหลายประเทศมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว 5G จึงไม่ใช่เรื่องจินตนาการ และกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ปี ประเทศไทยคงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการก้าวสู่ยุค 5G ไม่ว่าจะในด้านการลงทุนโครงข่ายและอุปกรณ์ใหม่ การเตรียมคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อบริการ ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ต่ำ ย่านความถี่กลาง และย่านความถี่สูง ซึ่งในคลื่นย่านความถี่สูงมากอย่าง 27-28 GHz ที่เรียกว่า millimeter-wave อาจไม่จำเป็นต้องจัดการประมูลคลื่นความถี่
แต่ที่สำคัญที่สุดของการเตรียมตัว คือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เกี่ยวระบบนิเวศของการให้บริการ ที่ต้องผสมผสานบริการอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ระบบการสื่อสารของเราตอบสนองทุกมิติชีวิตของผู้ใช้งาน และสังคมสามารถใช้ประโยชน์จาก 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคิดเรื่อง 5G จึงต้องยกระดับจากการคิดแบบ Telecommunications Services ไปสู่การมองให้เห็น Platform และ Ecosystem ใหม่
5G จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะสนับสนุนประเทศไทย 4.0 ได้ตามหัวข้องานสัมนาที่สมาคมโทรคมนาคมทั้งสองประเทศได้ร่วมกันจัดขึ้น
โดย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
เผยแพร่: 12 ก.พ. 2561 17:15:00
WWW.manager.co.th
สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศญี่ปุ่น โดยการสนับสนุนของภาคเอกชนและสำนักงาน กสทช. ได้จัดการสัมมนาประจำปี 2561 เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G และประเทศไทย 4.0 ขึ้น โดยมีผู้บริหารของ NTT DOCOMO ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการปรับตัวของอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ยุค 5G
อย่างที่เราทราบกันดีว่า 5G จะมีความเร็วสูงระดับกิกะบิตซึ่งเร็วกว่า 4G หลายสิบเท่าตัว แต่คุณสมบัติที่สร้างความแตกต่างอีก 2 ประการคือ ความหน่วงในการรับส่งข้อมูลต่ำมากในระดับหนึ่งส่วนพันวินาที ทำให้ประยุกต์ใช้กับการควบคุมทางไกลได้ฉับไว เช่น การกู้ภัย การควบคุมเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ หรือแม้แต่การแพทย์ทางไกล และอีกคุณสมบัติหนึ่งก็คือการรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อได้นับล้านๆ ชิ้นต่อตารางกิโลเมตร จึงสามารถรองรับยุค IoT (Internet of Things) ที่อุปกรณ์ของใช้ของมนุษย์ล้วนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
5G จึงเป็นตัวพลิกโฉมอุตสาหกรรมการสื่อสารซึ่งเข้าสู่ภาวะอิ่มตัว
ปัจจุบันทิศทางของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เปลี่ยนไปมาก จากเดิมรายได้หลักมาจากการโทร.ออกรับสายในยุค 2G และเปลี่ยนมาเป็นรายได้จากการรับส่ง data ในยุค 3G และ 4G ตามลำดับ แต่แนวโน้มจำนวนคนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นช้าลงกว่าเดิม และทิศทางรายรับรวมเริ่มเป็นขาลง แม้คนจะใช้งาน data จากการ upload/download video กันมากขึ้นก็ตาม แต่สำหรับ NTT DOCOMO แล้ว ได้ปรับตัวล่วงหน้าโดยผสานธุรกิจ Smart Life ต่างๆ เข้ามาในบริการ เช่น การให้บริการเนื้อหารายการหรือการถ่ายทอดสด การให้บริการทางการเงินหรือการชำระเงิน การให้บริการเชื่อมต่อ IoT กับลูกค้าองค์กร การให้บริการสนับสนุนข้อมูลสุขภาพ การให้บริการอุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น และรายได้จาก Smart Life Domain นี้มีทิศทางเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้รวมของบริษัทพลิกกลับเป็นขาขึ้นได้
ทิศทางหลักของการให้บริการในยุค 5G จึงต้องมุ่งไปที่การสร้างพันธมิตร สร้างความร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ solution ใหม่ๆ สำหรับธุรกิจและสังคม รูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น B2C (Business to Customer) หรือ B2B (Business to Business) เป็น B2B2C หรือแม้แต่ B2B2G (Government) เป็นต้น
ในปัจจุบัน NTT DOCOMO มีพันธมิตรแล้ว 394 องค์กรและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ
สิ่งที่ขับเคลื่อนความสัมพันธ์นี้คือ 'ข้อมูล' ในยุค IoT อุปกรณ์หลักคือตัวเซ็นเซอร์ ที่คอยตรวจวัดข้อมูลที่ต้องการ เช่น คุณภาพน้ำ คุณภาพอากาศ หรือตรวจวัดสิ่งอื่นๆ แล้วส่งข้อมูลมาประมวลผล นอกจากจะแจ้งผลการประมวลไปที่ปลายทาง ซึ่งอาจจะเป็นเกษตรกร ผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือองค์กรพันธมิตรแล้ว ระบบนิเวศนี้ยังทำให้เรามี Big data ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดได้อีกมากมาย
แต่เดิม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นลักษณะการสมัครบริการที่มีอายุตามสัญญาใช้บริการ เมื่อเลิกสัญญาจำนวนลูกค้าก็ลดลง และไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ได้อีกต่อไป ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น e-commerce หรือ Social Network ต่างๆ กับสมาชิกของตน ที่แม้จะหยุดการใช้งาน แต่ถ้ายังไม่แจ้งออกจากการเป็นสมาชิก ก็ยังนับเป็นลูกค้าอยู่ จำนวนสมาชิกจึงมีทิศทางเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ในภาพรวมได้ต่อไป
NTT DOCOMO จึงเปลี่ยนแนวคิดจาก subscriber มาเป็น member และได้พัฒนาระบบบัญชีสมาชิก +d account และมีการสะสมคะแนน +d point ทำให้ผู้ใช้งานเข้าสู่ +d market เพื่อเป็นระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจ
5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต
5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแท็บเล็ต
องค์กรพันธมิตรก็จะได้ประโยชน์จากระบบนิเวศนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อสมาชิกจะใช้บริการอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบริการทางการเงินหรือบริการรายการบันเทิงหรือบริการอื่นๆ ก็ยังทำผ่านระบบสมาชิกนี้ จึงมีการเก็บรวบรวมข้อมูลสมาชิกในด้านต่างๆ ไว้ และสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อที่จะได้เสนอหรือพัฒนาบริการให้เหมาะสมยิ่งขึ้นไป บริการในระบบนี้ ซึ่งรวมถึงบริการของ NTT DOCOMO และบริการขององค์กรพันธมิตร จึงเป็นระบบที่เกื้อหนุนทุกฝ่าย รูปแบบบริการ Smart Life Domain ก็จะทดแทนการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเก่าที่มีแต่การโทร.ออกรับสายและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเท่านั้น
ในส่วนการให้บริการ 5G อย่างเป็นทางการนั้นคงจะเกิดขึ้นไม่เกินปี พ.ศ. 2563 แต่เราจะเห็นการทดลองบริการ 5G ก่อนหน้านั้น ในมหกรรมกีฬาระดับโลกต่างๆ อย่างเช่น การแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2561 ที่พย็องชังประเทศเกาหลี การแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก 2562 ที่กรุงโตเกียว และการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2563 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งเราจะได้เห็น use case ของ 5G จริง ที่ไม่ใช่เพียงแต่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายในยุค IoT
ในด้านการถ่ายทอดรายการต่างๆ ก็จะมีความตระการตามากกว่าเดิม ไม่ใช่ในแง่ของความละเอียดของภาพอย่าง HD ไปสู่ 4K หรือ 8K เท่านั้น เพราะความละเอียดที่มากกว่า 8K ก็คงไม่ได้เพิ่มคุณค่าให้กับสายตาของมนุษย์สักเท่าใด แต่จะมีการผสานกับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) หรือ VR (Virtual Reality) เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม
จะเห็นได้ว่า 5G ไม่ใช่เพียงการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร และเครื่องจักรกับเครื่องจักร และไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือแทบเล็ต การประยุกต์ใช้ 5G จะทำให้การใช้งานโทรคมนาคมเพิ่มขึ้นมหาศาล และสามารถเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตในสังคม โดยรูปแบบการให้บริการต้องมีการผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างลงตัว อย่างเช่น บ้านหรืออาคารอัจฉริยะ เมืองอัจริยะ อุปกรณ์อัตโนมัติ หรือแม้แต่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติ หุ่นยนต์ที่ควบคุมทางไกลผ่าน 5G หรือหุ่นยนต์ที่มี AI เป็นต้น
เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคต่างๆ มีช่วงอายุอยู่ที่ประมาณ 10 ปี ไม่ว่าจะเป็น 2G 3G หรือ 4G ซึ่ง 4G ก็เปิดให้บริการในหลายประเทศมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว 5G จึงไม่ใช่เรื่องจินตนาการ และกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ปี ประเทศไทยคงต้องเตรียมตัวเพื่อรองรับการก้าวสู่ยุค 5G ไม่ว่าจะในด้านการลงทุนโครงข่ายและอุปกรณ์ใหม่ การเตรียมคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อบริการ ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ต่ำ ย่านความถี่กลาง และย่านความถี่สูง ซึ่งในคลื่นย่านความถี่สูงมากอย่าง 27-28 GHz ที่เรียกว่า millimeter-wave อาจไม่จำเป็นต้องจัดการประมูลคลื่นความถี่
แต่ที่สำคัญที่สุดของการเตรียมตัว คือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เกี่ยวระบบนิเวศของการให้บริการ ที่ต้องผสมผสานบริการอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ระบบการสื่อสารของเราตอบสนองทุกมิติชีวิตของผู้ใช้งาน และสังคมสามารถใช้ประโยชน์จาก 5G ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การคิดเรื่อง 5G จึงต้องยกระดับจากการคิดแบบ Telecommunications Services ไปสู่การมองให้เห็น Platform และ Ecosystem ใหม่
5G จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่จะสนับสนุนประเทศไทย 4.0 ได้ตามหัวข้องานสัมนาที่สมาคมโทรคมนาคมทั้งสองประเทศได้ร่วมกันจัดขึ้น
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
พลังดูดดาวชาวโพ้นทะเล จีนขยาย 5 ปี วีซ่าลูกหลานชาติพันธุ์มังกร
พลังดูดดาวชาวโพ้นทะเล จีนขยาย 5 ปี วีซ่าลูกหลานชาติพันธุ์มังกร
เผยแพร่: 3 ก.พ. 2561 10:10:00 โดย: เกรียงไกร พรพิพัฒน์กุล
https://mgronline.com/china/detail/9610000011137
แผนภาพแสดงจำนวนประชากรจีนโพ้นทะเลที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก (ภาพจาก http://greaterpacificcapital.com)
MGR Online / เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ (30 ม.ค.) - ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ ชาวต่างชาติที่มีเชื้อสายบรรพบุรุษจากประเทศจีน จะได้รับอนุญาตให้ยื่นขอวีซ่าเพื่ออนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลา 5 ปี หรือเข้าออกประเทศหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว (Multiple Entry) หากพวกเขามีคุณสมบัติตามเกณฑ์
นโยบายฉบับใหม่ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้มีการปรับปรุงวีซ่า Multiple Entry โดยล่าสุด สำหรับกลุ่มนี้ ชาวต่างชาติที่สืบเชื้อสายมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน จะสามารถขยายระยะเวลาการพำนัก หรือเข้าออกประเทศหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ตั้งแต่ 3 - 5 ปี
ตามที่ทางการประกาศโดยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่าจะดึงดูดผู้คนชาติพันธุ์จีนจำนวนมากในต่างประเทศเพื่อเข้ามาทำธุรกิจหรืออาศัยอยู่ในประเทศจีนได้
ตามคำจำกัดความอย่างเป็นทางการของจีน คนต่างด้าวที่มีถิ่นกำเนิดในจีน หมายถึงพลเมืองจีนเดิมที่ได้รับสัญชาติของต่างประเทศ หรือลูกหลานของอดีตพลเมืองจีน
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้สมัครต้องมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษคนหนึ่งเป็นพลเมืองจีน โดยไม่จำกัด จำนวนหรือลำดับของรุ่นสืบทอดเชื้อสาย เพียงสามารถพิสูจน์ชาติกำเนิดจีนก็เพียงพอ อาทิ เอกสารประจำตัวทางการ ที่พิสูจน์แหล่งกำเนิดของประเทศจีน
แนวคิดสิทธิพิเศษสำหรับชาวจีนโพ้นทะเลนี้ เบื้องต้นหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อช่วยกระตุ้นแรงงานเศรษฐกิจใหม่ๆ สร้างธุรกิจ หรือปรับสมดุลแรงงานจีนที่เริ่มปรับตัวลดต่ำตามโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ แต่หากติดตามแนวคิดเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเข้าใจว่านโยบายชาวจีนโพ้นทะเล คือพลังสร้างชาติจีนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และได้รับการเน้นย้ำสำคัญ ในยุคสี จิ้นผิง อีกครั้ง
นโยบายชาวจีนโพ้นทะเล เป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ผู้เชื่อว่าชาวจีนโพ้นทะเลมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดระบบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศจีน มุมมองดังกล่าวไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมากในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ได้สร้างความเติบโตที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับจีน ตลอดช่วงวาระการดำรงตำแหน่งของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีอำนาจมากขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2555 China.org.cn. เคยเผยตัวเลขประชากรจีนโพ้นทะเลทั่วโลก ในเอกสาร "Reforms urged to attract overseas Chinese" ว่ามีอยู่ทั่วโลกราว 50 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน ประชากรจีนโพ้นทะเลมีสัดส่วนเป็นประชากรในประเทศสิงคโปร์ 75%, ในประเทศไทย 14%, มาเลเซีย 23%, อินโดนีเซีย และบรูไน ประเทศละ 10% เหล่านี้ คงสมกับคำเปรียบเปรยที่เคยมีผู้กล่าวเล่นๆ ว่า "หากคนเชื้อสายจีนทั่วโลกกระโดดพร้อมกัน พื้นโลกคงจะสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว"
เพียงเฉพาะเมืองท่าฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางใต้ของจีน บ้านเกิดของชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่อพยพถิ่นฐานไปต่างประเทศ ก็เป็นมณฑลที่ สี จิ้นผิง เองมีความผูกพันมาก ด้วยทำงานนานถึง 17 ปี และเติบใหญ่จากพื้นที่นี้ เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเซียะเหมินในปี 2528 ก่อนจะเป็นนายกเทศมนตรีเมืองฝูโจว เมืองเอกของฝูเจี้ยน โดยดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2545
ประมาณกันว่า ชาวจีนโพ้นทะเลกว่า 2.5 ล้านชีวิต ที่กระจายอยู่ใน 50 กว่าประเทศและเขตแดนทั่วโลก เดินทางมาจากเมืองฝูโจว ท่าริมทะเลเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นความภาคภูมิใจของมวลชนสายเลือดจีนอย่างล้นเหลือ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆ ทั้งวงการวิทยาศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะในวงการวิสาหกิจระดับโลก ตัวอย่างเช่น เจ้าพ่อการเงินและการคลัง หลินเส้าเหลียง (林绍良) เจ้าพ่อน้ำตาลโลก กัวเฮ่อเหนียน (郭鹤年) ราชาบุหรี่ ไช่หยวนฮุย (蔡元辉) และพ่อค้าไม้ผู้ยิ่งใหญ่ หวงซวงอัน (黄双安)
จวง กั่วถู วัย 64 ปี ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มณฑลฝูเจี้ยน ผู้เชี่ยวชาญด้านชาวจีนโพ้นทะเล และเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน คือหนึ่งในผู้ให้คำปรึกษา และวิจัยฯ ช่วยงานรัฐบาลกำหนดนโยบายการมีส่วนร่วมกับชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านั้น
ล่าสุดปีที่แล้ว จวง กั่วถู เคยให้สัมภาษณ์กับ นิคเคอิ (Nikkei) สื่อญี่ปุ่น เกี่ยวกับบทบาทของจีนโพ้นทะเลกับประเทศจีนในยุคสมัยผู้นำ สี จิ้นผิง ว่า ข้อมูลตัวเลขฯ ล่าสุด สำรวจพบจำนวนผู้อพยพชาวจีนรวมทั้งชาวจีนผู้เปลี่ยนสัญชาติ อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านคน จำนวนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีผู้ศึกษาอยู่ในต่างประเทศมากขึ้น ในแง่ของประชากร 60 ล้านคนนี้ นับว่าใกล้เคียงกับประเทศหนึ่งๆ เลยทีเดียว จำนวนประชากรนี้หากเทียบลำดับเป็นประเทศ ก็อยู่ประมาณอันดับ 25 ของโลก
โดยรวมแล้วชาวจีนโพ้นทะเล ถือครองสินทรัพย์สินทรัพย์มากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ มีอิทธิพลทางสินทรัพย์เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้วทีเดียว
ผู้อพยพชาวจีนที่ร่ำรวยที่สุดมาจากฝูเจี้ยน และโดยส่วนใหญ่ของมหาเศรษฐีในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ก็ล้วนอพยพมาจากฝูเจี้ยน
ประชากรเชื้อสายจีนจำนวนมาก ในประเทศไทย ก็อพยพจากเมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว) มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับฝูเจี้ยน
ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจในเซียะเหมินและฝูโจว ดังนั้นสี จิ้นผิง จึงให้ความสำคัญกับชาวจีนโพ้นทะเลอย่างมาก
แม้กระทั่งเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มนโยบายการปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีน ในปีพ. ศ. 2521 ก็ให้ความสำคัญ อาศัยพลังมหาศาลของชาวจีนโพ้นทะเลช่วยสร้างชาติ ฟื้นฟูความบอบช้ำจากสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้นเขาจึงได้ริเริ่มสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นในภูมิลำเนาถิ่นฐานของผู้อพยพ
ถ้าไม่ใช่ภูมิลำเนาฝูเจี้ยนของผู้อพยพชาวจีนนี้ การปฏิรูปและการเปิดเสรีจะต้องใช้เวลามากกว่าจะเกิดผล เพราะบริษัทต่างชาติ ชะลอการลงทุนในจีนตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2532 ในเวลานั้นมีเพียงผู้อพยพชาวจีนที่เป็นกำลังสำคัญ
สี จงชุน อดีตรองนายกรัฐมนตรีจีน ผู้ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของประธาน เหมา เจ๋อตง และเป็นบิดาของสี จิ้นผิง คือนักการเมืองคนแรกที่ตระหนักถึงคุณค่าของผู้อพยพชาวจีน ในการประชุมในปีพ. ศ. 2527 ซึ่งรวบรวมผู้บริหารระดับสูงจากชนบทที่ดูแลเรื่องต่างๆ เขากล่าวว่าผู้อพยพชาวจีนมีความสามารถด้านการจัดการ ด้านการเงิน เทคโนโลยีและการจัดการธุรกิจ และเพื่อสร้างเศรษฐกิจของประเทศจีนต้องอาศัยบทบาทพวกเขา
โครงการริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งทาง (เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อกับเอเชียและยุโรป) ประกอบด้วยเส้นทางบกและทางเดินเรือ เส้นทางบกมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เส้นทางการเดินเรือมีความสำคัญมาก ไม่เพียงในด้านความมั่นคง แต่ยังมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจด้วย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของผู้อพยพชาวจีน
สี จิ้นผิง เข้าใจถึงความสำคัญของชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านี้ จึงริเริ่มที่จะรวมเส้นทางเดินเรือไว้ด้วย
แม้สหรัฐฯ เอง ก็กำลังมีจำนวนผู้อพยพชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ปัจจุบันมีจำนวนผู้อพยพชาวจีน ประมาณ 4.6 ล้านคน คาดว่าจะขยายตัวเป็น 6 ล้านคน ภายใน 10 ปี และเป็น 10 ล้านคน ภายใน 20 ปี ซึ่งหมายความว่าชาวจีนโพ้นทะเล อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในอนาคต ขณะที่ปัจจุบันนี้ ผู้อพยพหลายคนที่ทำงานในสหรัฐฯ ก็เป็นชาวฝูเจี้ยน ประมาณ 1 ล้านคน
จวง กั่วถู กล่าวว่า "ชาวจีนอพยพใหม่" (ผู้คนที่อพยพจากแผ่นดินใหญ่อันเป็นผลมาจากนโยบายการปฏิรูปและการเปิดเสรี) จะสามารถประสานความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ได้ดี แม้ในประวัติศาสตร์เองก็ตาม ซุนยัตเซน บิดาแห่งสาธารณรัฐจีน ก็เป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่ครอบครัวอพยพไปฮาวาย
ผู้อพยพชาวจีนจำนวนมากในสหรัฐฯ รวมทั้งชาวไต้หวันทำงานในระดับสูงของรัฐบาลอเมริกัน และยังจะมีตำแหน่งอีกมากที่รออยู่ ซึ่งชาวเชื้อสายจีนไม่ว่าจะมาจากไต้หวันหรือแผ่นดินใหญ่ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ดี คงไม่ต้องการจะเห็นความบาดหมางในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน และคงจะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคี
ถึงที่สุดแล้ว ผู้อพยพชาวจีนโพ้นทะเลส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ เพราะหากมีเหตุการณ์ขัดแย้งรุนแรง จะส่งผลเป็นชนวนโดยตรงกับชีวิตชาวจีนอพยพในประเทศต่างๆ
"ผู้อพยพใหม่" มีลักษณะเฉพาะฯ ร่วมกัน 3 ประการ คือมีการศึกษาสูง มีฐานะร่ำรวย และช่วยสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนแผ่นดินใหญ่ คุณลักษณะเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และภูมิภาคต่างๆ
โดยสรุปรวมแล้ว นัยยะสำคัญความสำเร็จของจีนทั้งด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ จึงขึ้นอยู่กับคนเชื้อชาติจีนในประเทศต่างๆ ด้วย เพราะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์สังคมและการดำเนินธุรกิจในท้องถิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อฯ ในความเป็นหนึ่งเดียวอันมั่งคั่งยั่งยืนสมานฉันท์
เผยแพร่: 3 ก.พ. 2561 10:10:00 โดย: เกรียงไกร พรพิพัฒน์กุล
https://mgronline.com/china/detail/9610000011137
แผนภาพแสดงจำนวนประชากรจีนโพ้นทะเลที่กระจายอยู่ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก (ภาพจาก http://greaterpacificcapital.com)
MGR Online / เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ (30 ม.ค.) - ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้ ชาวต่างชาติที่มีเชื้อสายบรรพบุรุษจากประเทศจีน จะได้รับอนุญาตให้ยื่นขอวีซ่าเพื่ออนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศจีนเป็นเวลา 5 ปี หรือเข้าออกประเทศหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว (Multiple Entry) หากพวกเขามีคุณสมบัติตามเกณฑ์
นโยบายฉบับใหม่ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ได้มีการปรับปรุงวีซ่า Multiple Entry โดยล่าสุด สำหรับกลุ่มนี้ ชาวต่างชาติที่สืบเชื้อสายมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน จะสามารถขยายระยะเวลาการพำนัก หรือเข้าออกประเทศหลายครั้งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ตั้งแต่ 3 - 5 ปี
ตามที่ทางการประกาศโดยกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คาดว่าจะดึงดูดผู้คนชาติพันธุ์จีนจำนวนมากในต่างประเทศเพื่อเข้ามาทำธุรกิจหรืออาศัยอยู่ในประเทศจีนได้
ตามคำจำกัดความอย่างเป็นทางการของจีน คนต่างด้าวที่มีถิ่นกำเนิดในจีน หมายถึงพลเมืองจีนเดิมที่ได้รับสัญชาติของต่างประเทศ หรือลูกหลานของอดีตพลเมืองจีน
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้สมัครต้องมีพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือบรรพบุรุษคนหนึ่งเป็นพลเมืองจีน โดยไม่จำกัด จำนวนหรือลำดับของรุ่นสืบทอดเชื้อสาย เพียงสามารถพิสูจน์ชาติกำเนิดจีนก็เพียงพอ อาทิ เอกสารประจำตัวทางการ ที่พิสูจน์แหล่งกำเนิดของประเทศจีน
แนวคิดสิทธิพิเศษสำหรับชาวจีนโพ้นทะเลนี้ เบื้องต้นหลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อช่วยกระตุ้นแรงงานเศรษฐกิจใหม่ๆ สร้างธุรกิจ หรือปรับสมดุลแรงงานจีนที่เริ่มปรับตัวลดต่ำตามโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ แต่หากติดตามแนวคิดเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเข้าใจว่านโยบายชาวจีนโพ้นทะเล คือพลังสร้างชาติจีนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และได้รับการเน้นย้ำสำคัญ ในยุคสี จิ้นผิง อีกครั้ง
นโยบายชาวจีนโพ้นทะเล เป็นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ผู้เชื่อว่าชาวจีนโพ้นทะเลมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดระบบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศจีน มุมมองดังกล่าวไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมากในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ได้สร้างความเติบโตที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับจีน ตลอดช่วงวาระการดำรงตำแหน่งของสี จิ้นผิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีอำนาจมากขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2555 China.org.cn. เคยเผยตัวเลขประชากรจีนโพ้นทะเลทั่วโลก ในเอกสาร "Reforms urged to attract overseas Chinese" ว่ามีอยู่ทั่วโลกราว 50 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน ประชากรจีนโพ้นทะเลมีสัดส่วนเป็นประชากรในประเทศสิงคโปร์ 75%, ในประเทศไทย 14%, มาเลเซีย 23%, อินโดนีเซีย และบรูไน ประเทศละ 10% เหล่านี้ คงสมกับคำเปรียบเปรยที่เคยมีผู้กล่าวเล่นๆ ว่า "หากคนเชื้อสายจีนทั่วโลกกระโดดพร้อมกัน พื้นโลกคงจะสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว"
เพียงเฉพาะเมืองท่าฝูโจว มณฑลฝูเจี้ยน ทางใต้ของจีน บ้านเกิดของชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่อพยพถิ่นฐานไปต่างประเทศ ก็เป็นมณฑลที่ สี จิ้นผิง เองมีความผูกพันมาก ด้วยทำงานนานถึง 17 ปี และเติบใหญ่จากพื้นที่นี้ เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเซียะเหมินในปี 2528 ก่อนจะเป็นนายกเทศมนตรีเมืองฝูโจว เมืองเอกของฝูเจี้ยน โดยดำรงตำแหน่งจนถึงปี 2545
ประมาณกันว่า ชาวจีนโพ้นทะเลกว่า 2.5 ล้านชีวิต ที่กระจายอยู่ใน 50 กว่าประเทศและเขตแดนทั่วโลก เดินทางมาจากเมืองฝูโจว ท่าริมทะเลเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นความภาคภูมิใจของมวลชนสายเลือดจีนอย่างล้นเหลือ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆ ทั้งวงการวิทยาศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะในวงการวิสาหกิจระดับโลก ตัวอย่างเช่น เจ้าพ่อการเงินและการคลัง หลินเส้าเหลียง (林绍良) เจ้าพ่อน้ำตาลโลก กัวเฮ่อเหนียน (郭鹤年) ราชาบุหรี่ ไช่หยวนฮุย (蔡元辉) และพ่อค้าไม้ผู้ยิ่งใหญ่ หวงซวงอัน (黄双安)
จวง กั่วถู วัย 64 ปี ศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มณฑลฝูเจี้ยน ผู้เชี่ยวชาญด้านชาวจีนโพ้นทะเล และเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน คือหนึ่งในผู้ให้คำปรึกษา และวิจัยฯ ช่วยงานรัฐบาลกำหนดนโยบายการมีส่วนร่วมกับชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านั้น
ล่าสุดปีที่แล้ว จวง กั่วถู เคยให้สัมภาษณ์กับ นิคเคอิ (Nikkei) สื่อญี่ปุ่น เกี่ยวกับบทบาทของจีนโพ้นทะเลกับประเทศจีนในยุคสมัยผู้นำ สี จิ้นผิง ว่า ข้อมูลตัวเลขฯ ล่าสุด สำรวจพบจำนวนผู้อพยพชาวจีนรวมทั้งชาวจีนผู้เปลี่ยนสัญชาติ อยู่ที่ประมาณ 60 ล้านคน จำนวนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีผู้ศึกษาอยู่ในต่างประเทศมากขึ้น ในแง่ของประชากร 60 ล้านคนนี้ นับว่าใกล้เคียงกับประเทศหนึ่งๆ เลยทีเดียว จำนวนประชากรนี้หากเทียบลำดับเป็นประเทศ ก็อยู่ประมาณอันดับ 25 ของโลก
โดยรวมแล้วชาวจีนโพ้นทะเล ถือครองสินทรัพย์สินทรัพย์มากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ มีอิทธิพลทางสินทรัพย์เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้วทีเดียว
ผู้อพยพชาวจีนที่ร่ำรวยที่สุดมาจากฝูเจี้ยน และโดยส่วนใหญ่ของมหาเศรษฐีในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ก็ล้วนอพยพมาจากฝูเจี้ยน
ประชากรเชื้อสายจีนจำนวนมาก ในประเทศไทย ก็อพยพจากเมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว) มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับฝูเจี้ยน
ชาวจีนโพ้นทะเลได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจในเซียะเหมินและฝูโจว ดังนั้นสี จิ้นผิง จึงให้ความสำคัญกับชาวจีนโพ้นทะเลอย่างมาก
แม้กระทั่งเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มนโยบายการปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีน ในปีพ. ศ. 2521 ก็ให้ความสำคัญ อาศัยพลังมหาศาลของชาวจีนโพ้นทะเลช่วยสร้างชาติ ฟื้นฟูความบอบช้ำจากสงครามกลางเมืองที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้นเขาจึงได้ริเริ่มสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นในภูมิลำเนาถิ่นฐานของผู้อพยพ
ถ้าไม่ใช่ภูมิลำเนาฝูเจี้ยนของผู้อพยพชาวจีนนี้ การปฏิรูปและการเปิดเสรีจะต้องใช้เวลามากกว่าจะเกิดผล เพราะบริษัทต่างชาติ ชะลอการลงทุนในจีนตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2532 ในเวลานั้นมีเพียงผู้อพยพชาวจีนที่เป็นกำลังสำคัญ
สี จงชุน อดีตรองนายกรัฐมนตรีจีน ผู้ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของประธาน เหมา เจ๋อตง และเป็นบิดาของสี จิ้นผิง คือนักการเมืองคนแรกที่ตระหนักถึงคุณค่าของผู้อพยพชาวจีน ในการประชุมในปีพ. ศ. 2527 ซึ่งรวบรวมผู้บริหารระดับสูงจากชนบทที่ดูแลเรื่องต่างๆ เขากล่าวว่าผู้อพยพชาวจีนมีความสามารถด้านการจัดการ ด้านการเงิน เทคโนโลยีและการจัดการธุรกิจ และเพื่อสร้างเศรษฐกิจของประเทศจีนต้องอาศัยบทบาทพวกเขา
โครงการริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งทาง (เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อกับเอเชียและยุโรป) ประกอบด้วยเส้นทางบกและทางเดินเรือ เส้นทางบกมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ เส้นทางการเดินเรือมีความสำคัญมาก ไม่เพียงในด้านความมั่นคง แต่ยังมีนัยสำคัญทางเศรษฐกิจด้วย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของผู้อพยพชาวจีน
สี จิ้นผิง เข้าใจถึงความสำคัญของชาวจีนโพ้นทะเลเหล่านี้ จึงริเริ่มที่จะรวมเส้นทางเดินเรือไว้ด้วย
แม้สหรัฐฯ เอง ก็กำลังมีจำนวนผู้อพยพชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ปัจจุบันมีจำนวนผู้อพยพชาวจีน ประมาณ 4.6 ล้านคน คาดว่าจะขยายตัวเป็น 6 ล้านคน ภายใน 10 ปี และเป็น 10 ล้านคน ภายใน 20 ปี ซึ่งหมายความว่าชาวจีนโพ้นทะเล อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในอนาคต ขณะที่ปัจจุบันนี้ ผู้อพยพหลายคนที่ทำงานในสหรัฐฯ ก็เป็นชาวฝูเจี้ยน ประมาณ 1 ล้านคน
จวง กั่วถู กล่าวว่า "ชาวจีนอพยพใหม่" (ผู้คนที่อพยพจากแผ่นดินใหญ่อันเป็นผลมาจากนโยบายการปฏิรูปและการเปิดเสรี) จะสามารถประสานความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ได้ดี แม้ในประวัติศาสตร์เองก็ตาม ซุนยัตเซน บิดาแห่งสาธารณรัฐจีน ก็เป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่ครอบครัวอพยพไปฮาวาย
ผู้อพยพชาวจีนจำนวนมากในสหรัฐฯ รวมทั้งชาวไต้หวันทำงานในระดับสูงของรัฐบาลอเมริกัน และยังจะมีตำแหน่งอีกมากที่รออยู่ ซึ่งชาวเชื้อสายจีนไม่ว่าจะมาจากไต้หวันหรือแผ่นดินใหญ่ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ดี คงไม่ต้องการจะเห็นความบาดหมางในความสัมพันธ์ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน และคงจะช่วยปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคี
ถึงที่สุดแล้ว ผู้อพยพชาวจีนโพ้นทะเลส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ เพราะหากมีเหตุการณ์ขัดแย้งรุนแรง จะส่งผลเป็นชนวนโดยตรงกับชีวิตชาวจีนอพยพในประเทศต่างๆ
"ผู้อพยพใหม่" มีลักษณะเฉพาะฯ ร่วมกัน 3 ประการ คือมีการศึกษาสูง มีฐานะร่ำรวย และช่วยสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนแผ่นดินใหญ่ คุณลักษณะเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และภูมิภาคต่างๆ
โดยสรุปรวมแล้ว นัยยะสำคัญความสำเร็จของจีนทั้งด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ จึงขึ้นอยู่กับคนเชื้อชาติจีนในประเทศต่างๆ ด้วย เพราะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์สังคมและการดำเนินธุรกิจในท้องถิ่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่เอื้อฯ ในความเป็นหนึ่งเดียวอันมั่งคั่งยั่งยืนสมานฉันท์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)