Salim Ismail กูรูด้าน Exponential Transformation เผยเคล็ดลับในการปรับองค์กรเพื่อรองรับ Accelerating Technologies
วันที่ 11 มี.ค. คณะบัญชีๆ จุฬาฯ ร่วมกับ SET จัดงานสัมมนา "How to Transform Your Business to Become an Exponential Company in a Digital Era" มีประเด็นน่าสนใจดังนี้
## Accelerating Technologies เป็นอย่างไร ##
Accelerating Technologies ทำให้ธุรกิจสามารถโตได้แบบก้าวกระโดด เช่น AI, robotics, biotech เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้เพิ่มขีดความสามารถได้แบบทวีคูณ เหมือนใน Moore’s law ที่บอกว่าจำนวน transistor ในแผงวงจรเพิ่มจำนวนขึ้นได้ทุกๆ 2 ปี การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ในช่วงเริ่มต้นอาจช้า แต่พอถึงจุดก็สามารถพุ่งทะยานแต่ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น drone ที่ในอดีตไม่สามารถบรรทุกน้ำหนักได้มาก แต่ปัจจุบันสามารถบรรทุกของหนัก 600 กิโลกรัมได้ไกลถึง 10 กิโลเมตร การลดลงของต้นทุนของการผลิตแสงสว่าง ต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์ หรือรายได้จากการโฆษณาของสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จะเกิดอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ค่อยเป็นค่อยไปเหมือนธุรกิจในอดีต
เทคโนโลยีเหล่านี้ก่อให้เกิด 4D ซึ่งประกอบด้วย Digitize, Disrupt, Demonetize และ Democratize
## 1. Digitize ##
เมื่อกิจกรรมต่างๆ เป็น digital มากขึ้นผ่าน Internet of Things (IOT) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจจะมีอุปกรณ์ถึง 1 ล้านล้านตัวในปี 2030 ที่สามารถเชื่อมต่อ Internet ได้ ทำให้มีข้อมูลที่ทำประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น มีบริษัท startup ใน Israel สามารถใช้คลิปเสียงเพียง 10 วินาทีวิเคราะห์อารมณ์ของผู้พูดได้ด้วยความแม่นยำถึง 85%
## 2. Disrupt ##
เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน รูปแบบการทำธุรกิจก็เปลี่ยน
สมัยก่อนกล้องต้องใช้ฟิล์ม ทำให้เวลาถ่ายภาพต้องระมัดระวังเนื่องจากความจุมีจำกัด คอร์สสอนถ่ายรูปจึงมีความจำเป็น แต่พอมีกล้องดิจิตัล ไม่มีข้อจำกัดเรื่องความจุอีกต่อไป ก็ไม่จำเป็นต้องมีคอร์สสอนแล้ว ปัญหาของคนกลายเป็นทำอย่างไรให้ค้นหาและจัดการรูปถ่ายจำนวนมากที่มีอยู่ในอุปกรณ์หลายรูปแบบ เป็นต้น
จาก scarcity กลายเป็น abundance ต้นทุน marginal cost กลายเป็น 0 ทำให้เนื้อของธุรกิจ (เช่นจำนวนรูปถ่าย ปริมาณพลังงาน) เพิ่มอย่างมหาศาล โจทย์ของธุรกิจก็เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์ถูกลงมาก ทำให้ปัญหาไม่ใช่เรื่องการผลิต แต่เป็นการเก็บ จุดพลิกเหล่านี้เรียกว่า Gutenberg moment (ตามชื่อผู้คิดค้นแท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลก) ซึ่งเกิดมากขึ้นและบ่อยขึ้นในโลกปัจจุบัน
## 3. Demonetize ##
เมื่อต้นทุนถูกลงเรื่อยๆ คู่แข่งที่มา Disrupt ก็มากขึ้นเรื่อยๆ รายได้ก็ลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น บริษัทรถยนต์ที่ผ่านมาไม่สนใจเรี่อง self-driving car เนื่องจากต้นทุนเทคโนโลยีสูง เป็นแสนเหรียญต่อคัน ทำให้สร้างแล้วขายไม่คุ้ม แต่เมื่อต้นทุนเทคโนโลยีลดลงแบบ exponential เหลือแค่หลักพัน ตอนนี้กลับต้องมาพัฒนาบ้างตามหลัง Google หรือ Uber ซึ่งได้ลงทุนวิจัยนำมานานแล้ว ตัวอย่างที่สอง ธุรกิจล้างรถใน Buenos Aires ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจดี คนมีรถมากขึ้น แต่รายได้กลับลดลง ต้นเหตุที่แท้จริงกลับเป็นเพราะเทคโนโลยีในการพยากรณ์อากาศดีขึ้น ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่เมื่อพยากรณ์ว่าฝนตกแล้วฝนมักจะตกจริงๆ คนจึงมาล้างรถน้อยลง
ตัวอย่างแรกแสดงให้เห็นถึงการคิดแบบ linear กับการคิดแบบ exponential หากเราไม่คิดแบบ exponential เราจะพลาดโอกาสในอนาคตได้ ส่วนตัวอย่างหลังแสดงให้เห็นว่า disruption มาได้จากทุกที่ ทำให้เราควรมีความหวาดระแวงไว้บ้าง ให้คิดไว้เลยว่าเราจะถูก disrupt ได้เสมอ
## 4. Democratize ##
เมื่อทุกอย่างต้นทุนลดลง ก็ทำให้เปิดกว้างมากขึ้น
เมื่อเรานำเทคโนโลยีไปให้กลุ่มชายขอบใช้ สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างทันที เช่น หลังเหตุการณ์สึนามิที่ Indonesia ชาวประมงมีรายได้มากขึ้นถึง 30% จากการใช้ SMS ส่งข่าวราคารับซื้อปลาที่ท่าเรือให้กัน ทำให้ชาวประมงตัดสินใจได้ดีขึ้น การเปิดกว้างนี้ทำให้ใครก็ได้ที่มีไอเดียสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้กับธุรกิจเดิมๆ แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
Elon Musk ไม่ได้คิดค้นอะไรใหม่ แต่กลยุทธ์ของเขาคือหาเทคโนโลยีก้าวกระโดดเหล่านี้และสร้างบริษัทมาเพื่อจะได้ทันใช้ประโยชน์จากการเติบโตใน 10 ปีข้างหน้า
## คำแนะนำจาก Salim สำหรับการปรับตัว ##
องค์กรที่เรียกได้ว่าเป็น Exponential Organization ต่างมีจุดร่วมดังนี้
1. ใช้ MTP (massive transformative purpose) ซึ่งเหมือนเป็น mantra ประจำองค์กร เช่น Ideas worth spreading (TED), Organize the world’s information (Alphabet/Google), Open happiness (Coca-Cola) ในการสร้าง culture
2. ไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าด้วยหลักการ SCALE (Staff on demand, Community & crowd, Algorithms, Leveraged assets, Engagement)
ซึ่งองค์กรที่ต้องการเตรียมพร้อม ควรจะ
1. ให้ผู้นำรับทราบถึงสภาวะปัจจุบันของโลก เช่น Accelerating Technologies และ Exponential Growth และเปลี่ยนแนวคิด
2. เริ่มนวัตกรรม disruptive จากชายขอบ (edges) ไม่ใช่จากศูนย์กลางขององค์กร (core) เพราะมิเช่นนั้นระบบภูมิคุ้มกัน (ต่อความเปลี่ยนแปลงขององค์กร) จะทำงาน ให้สร้างทีมพิเศษขึ้นมาที่ตามชายขอบโดยที่เก็บศูนย์กลางไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ทีมพิเศษนี้อาจจะใหญ่กว่าตัวองค์กรดั้งเดิมเองก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น