Positioning Magazine พฤษภาคม 2553
Added on: 10/6/2553
แม้ฟุตบอลโลกปีนี้จัดไกลถึงแอฟริกาใต้ ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปเยือน และไม่มีทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน แถมสถานการณ์การเมืองก็ไม่เป็นใจนัก
แต่ฟุตบอลโลก 2010เป็นอีเวนต์ระดับยักษ์ที่หลายแบรนด์ในประเทศไทยไม่ยอมพลาด ส่วนระดับความเข้มข้นในการทำตลาดอาจต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าที่แต่ละแบรนด์มองหา ต้องจับตา 5 อุตสาหกรรม ที่ฟุตบอลโลก 2010 เป็นยุทธศาสตร์สร้างจุดเปลี่ยนให้กับยกระดับแบรนด์ ตลอดจนสินค้า ด้วยสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดให้สอดคล้องไปกับการแข่งขันชนิดที่พลาดไม่ได้
ศึกน้ำอัดลม
กิจกรรมที่ต้องมารวมกลุ่มสังสรรค์ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม น้ำอัดลม มักเป็นองค์ประกอบหนึ่งในปาร์ตี้ที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการรวมกลุ่มเชียร์การแข่งขันฟุตบอลโลก ที่น่าจะก่อให้เกิดการบริโภคน้ำอัดลมในอัตราที่สูงขึ้น
ความเข้มข้นที่แข่งกันระดับ Global ระหว่างโคคา-โคลา ที่เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก 2010 กับเป๊ปซี่ ที่เริ่มทำการตลาดในช่วงฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1998 และใช้กลยุทธ์ Ambush Marketing ขับเคลื่อนมาตลอด ส่งผลให้การแข่งขันในประเทศไทย ที่เครื่องดื่มน้ำอัดลมมีตลาดใหญ่เป็นอันดับสองในน้ำดื่มบรรจุขวดเข้มข้นไม่แพ้กัน
เมื่อบวกกับการเข้ามาของบิ๊กโคล่า น้ำอัดลมจากประเทศเปรู ที่พร้อมทุ่มเต็มที่กับการทำตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ด้วยการนำไลเซ่นส์ทีมชาติอังกฤษมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ เพื่อย่นระยะเวลาการสร้างแบรนด์ให้สั้นลง
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงสำคัญต่อแต่ละแบรนด์ในตลาดน้ำอัดลมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล เป็นพฤติกรรมพื้นฐานของผู้บริโภคชาวไทย จึงไม่มีเหตุผลที่ช้างและสิงห์จะไม่ทำกิจกรรมการตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ฤดูการขายพิเศษที่ 4 ปีมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น โดย ชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด คาดว่า ยอดขายเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก ซึ่งระยะเวลานานประมาณ 1 เดือน มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตสูงถึง 10%
ทั้งสองแบรนด์ เน้นไปที่กิจกรรม On-Ground ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดลานเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก เพื่อตอบสนองพฤติกรรมข้างต้น ที่มักดื่มเบียร์ไปพร้อมๆ กับการรับชมฟุตบอลได้เป็นอย่างดี โดยสิงห์เข้าร่วมกับอาร์เอส จัดกิจกรรมจำนวน 5 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนช้าง ที่เป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 อย่างเป็นทางการในระดับ Gold ได้จัดพื้นที่กิจกรรมของตัวเอง โดยคาดว่าจะจัดขึ้น 10 แห่งทั่วประเทศ
การเงินกับบอลก็ไปด้วยกันได้
การเงินกับกีฬา อาจเป็นสองสิ่งที่ไม่น่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างกันได้ แต่ฟุตบอลโลกได้ประสานทั้งสองธุรกิจเข้าด้วยกัน ด้วยความหวังของธุรกิจการเงินที่จะพยายามสร้างให้แบรนด์สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น จึงต้องเข้าถึงไลฟ์สไตล์ความชอบของผู้คน
เมื่อสายตาของคนทั้งโลกต่างจับจ้องที่ฟุตบอลโลก วีซ่าก็ต้องอยู่ตรงนั้น คือสโลแกนที่วีซ่าประกาศในเว็บไซต์
การเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างวีซ่าและฟีฟ่า เพิ่งเริ่มต้นมาในปี 2007
บอลโลก เป็นความหวังอันเรืองของ “วีซ่า” ที่จะใช้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หลังจากปล่อยให้มาสเตอร์การ์ด คู่แข่งตัวกลั่นครอบครองสิทธิการเป็นสปอนเซอร์ในกลุ่ม “บัตรชำระเงิน” ของฟีฟ่ามายาวนาน
กลยุทธ์สำคัญของวีซ่าในฟุตบอลโลก 2010 คือเกมออนไลน์ ที่วีซ่าจะผสานความสนุกสนานของเกมฟุตบอล และความรู้ทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กนักเรียน อายุ 15 ปีขึ้นไป และผู้ถือบัตรวีซ่า ในรูปแบบของ “เกมออนไลน์” ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
เป้าหมายใหญ่ที่จะต้องทำให้ได้คือ การเผยแพร่ความรู้เรื่องการเงินส่วนบุคคล หรือ Financial Education ให้กับประชากร 20 ล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2556 นี้
“ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนทั่วโลก และฟีฟ่าก็เป็นพันธมิตรด้านฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุด การเป็นสปอนเซอร์ในครั้งนี้จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของวีซ่ามีความเชี่ยวชาญและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมี Brand Loyalty มากขึ้นด้วย เราเรียกความร่วมมือในครั้งนี้ว่า Good Match” สมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิก บอก
นอกจากนี้ วีซ่า ได้เชื่อมโยงแบรนด์ชำระเงินของโลกและฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมระดับโลก รวมทั้งยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่พันธมิตรและลูกค้าสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งในประเทศไทย ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี ได้เป็นพันธมิตรอีกทอดหนึ่งของวีซ่า ในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลโลกร่วมกับวีซ่าอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าการประเดิมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของวีซ่าจะไม่สดใสนัก เพราะไหนจะเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในไทย แต่อย่างน้อยวีซ่าก็ได้ลองผิดลองถูก โดยเฉพาะภาพรวมระดับโลกแล้ววีซ่ายังคงเชื่อมั่นว่างานนี้ต้องบูม เพราะจากผลสำรวจ Tourism Outlook : South Africa ของวีซ่า พบว่า เมื่อไตรมาสแรกของปี 2552 มียอดใช้จ่ายกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านผู้ถือบัตรวีซ่าที่เดินทางไปยังแอฟริกาใต้ และเมื่อการแข่งขันเริ่มต้น แอฟริกาใต้จะเป็นศูนย์กลางของคนทั้งโลก ทั้งการเดินทางจากท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก รวมถึงทีมงานของทีมฟุตบอลชาติต่างๆ และผู้สื่อข่าว ย่อมหมายถึงการจับจ่ายผ่านบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง นั่นคือเป้าหมายด้านรายได้ที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง
ปีทองของ Men’s Grooming
สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับผู้ชาย ได้ใช้โอกาสของฟุตบอลโลกที่ตรึงผู้ชายไว้หน้าโทรทัศน์ได้มากกว่าโปรแกรมใดๆ มาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปีนี้
นีเวีย ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ฟอร์เมน บีโอเร และยูนิลีเวอร์ ที่มีแบรนด์เคลียร์เมน วาสลีน และแอ๊กซ์ ต่างพยายามเชื่อมแบรนด์สินค้าผู้ชายที่มีอยู่ในพอร์ตของทั้งสองบริษัท ให้เข้ากับมหกรรมการแข่งชันฟุตบอลโลก ที่ตกอยู่ในความสนใจของผู้ชายค่อนประเทศ โดยหวังว่าจะช่วยสร้าง Brand Awareness ในกลุ่มเป้าหมายผู้ชายแท้ให้แข็งแรงกว่าเดิม
ยูนิลีเวอร์ เชื่อมั่นว่าฟุตบอลโลก 2010 เป็นตัวช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 แบรนด์ในกลุ่มของ Men's Grooming สามารถแจ้งเกิดได้ โดยมี "เคลียร์ เมน" นำทัพ เนื่องจากรีแบรนด์จากคลีนิค เคลียร์มาหมาดๆ ตามด้วยแอ๊กซ์ และวาสลีน เมน ภายใต้งบที่วางไว้กว่า 100 ล้านบาท ที่จะถูกใช้ในไตรมาสแรกของปี 2553
แม้จะไม่ได้เป็นสปอนเซอร์กับฟีฟ่า แต่ยูนิลีเวอร์ก็มีนักเตะระดับโลกอย่าง "คริสเตียนโน โรนัลโด้" ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเคลียร์ เมน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 มาเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาร่วมสนุกในแคมเปญบอลโลก ที่จะเน้นของรางวัล Exclusive ที่มาพร้อมกับลายเซ็นนักเตะยังคงเป็นกิมมิกที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และการแข่งขัน Clear Men Free Style Challenge ที่ให้เดาะลูกบอลตามลีลาของแต่ละคนและอัพโหลดคลิปลงบน Facebook
ยูนิลีเวอร์ ยอมทุ่มเป็นสปอนเซอร์ Platinum Package ของเคลียร์ เมน ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 ที่มีอาร์เอส ได้รับสิทธิ์มา ซึ่งยูนิลีเวอร์มองว่าตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 1 เดือนของฟุตบอลโลก 2010 จะช่วยExposure แบรนด์เคลียร์ เมน ออกไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และทำให้การ Transfer Brand จากคลีนิค เคลียร์ มาสู่เคลียร์ เมน เป็นไปอย่างสมบูรณ์มากขึ้น
จากนี้ไปเราคงได้เห็นบทบาทของการเป็น Partnership และอิงแอบกับ Sport Marketing โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลมากขึ้น เพราะนี่คือเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผลักดันยอดขายของกลุ่ม Men's Grooming ให้เติบโตขึ้นได้
แจ้งเกิดทีวี 3 มิติ
สินค้าอีกประเภทที่อิงแอบกับกระแสบอลโลกอย่างไม่ตัดขัด คือ โทรทัศน์ ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดในการรับชมฟุตบอลให้ได้อรรถรส และยิ่งฟุตบอลโลกครั้งนี้จะออกอากาศด้วยระบบ High-Definition ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดในแต่ละแมตช์การแข่งขันมากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว
ผู้ผลิตหลายแบรนด์ จึงคาดการณ์ว่าปีนี้ บอลโลกในปีนี้จะส่งผลให้ยอดขายทีวี ทั้งแอลซีดี และแอลซีดีทีวี พุ่งทะลุถึง 1 ล้านจอได้สบายๆ
เอาแค่เฉพาะใน 1 – 2 เดือนก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก ในแง่ของมูลค่า ตลาดจอแอลซีดีน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และ 30 – 40% ในแง่จำนวนหน่วย โดยเฉพาะจอขนาด 40 นิ้วขึ้นไปที่หลายแบรนด์พยายามสื่อสารว่า ดูบอลได้มันส์ที่สุด
เริ่มจากค่ายซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ทำตัวเป็น Fist Mover ของตลาด เปิดตัวทีวี ตั้งแต่จอขนาด 22-56 นิ้ว และที่เป็นไฮไลต์ คือ เทคโนโลยี 3 มิติ มาแบบครบเครื่อง ทั้งแอลซีดีทีวี 3 มิติ แอลอีดีทีวี 3 มิติ พลาสม่าทีวี ระบบ 3 มิติ พ่วงด้วยเครื่องเล่นบลูเรย์ดิกส์ 3 มิติ และแว่น 3 มิติ ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ งานนี้ ซัมซุง เชื่อว่าการนำเสนอแบบ Total Solution จะสร้างเทรนด์ใหม่ให้กับตลาดทีวีขึ้นได้
อาณัติ จ่างตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด บอกว่า แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดก็ตาม แต่ผู้บริหารซัมซุงมองว่าตลาดกลับไม่กระทบมากนัก เพราะคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้อัตราการดูทีวีเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 8-10 ชั่วโมง ยิ่งมีการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2010 ด้วยแล้ว จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดทีวีโดยรวมยังคงเติบโตไปได้อย่างดีในปีนี้
การแจ้งเกิดทีวี 3 มิติ ในช่วงจังหวะที่ฤดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้นไม่นาน จะสร้างดีมานด์ให้เกิดขึ้นได้
“ด้วยภาพที่คมชัดและเสมือจริง รายการที่เหมาะกับการรับชม ก็ต้องเป็นกีฬามาเป็นอันดับหนึ่ง การ์ตูนแอนิเมชั่น และภาพยนตร์ แน่นอนว่าซัมซุงเองได้เตรียมกลยุทธ์การตลาดที่จะ Linkage กับแคมเปญฟุตบอลโลกที่จะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้ไว้แล้ว”
แม้ว่าซัมซุงจะไม่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกโดยตรง แต่ขอเกาะไปกับกระแสบอลโลก นอกจากจะเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเชลซี ที่ผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกีฬาฟุตบอลโลกได้แล้ว ยังได้ร่วมกับค่ายน้ำอัดลม เป๊ปซี่ ทำแคมเปญชิงโชคไปดูฟุตบอลโลก รวมถึงการจัดระบบเงินผ่อน Consumer Finance ในการซื้อทีวีรุ่นใหม่ให้ยาวขึ้น และการร่วมมือกับผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ ของซัมซุง ที่สามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมฟุตบอลโลกได้ เช่น กล้อง โทรศัพท์มือถือดูทีวี หรือแม้แต่เครื่องปรับอากาศก็จะมีการออกแคมเปญการตลาดร่วมกับผลิตภัณฑ์ทีวี
ซัมซุงตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียงปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 35% โดยแบ่งเป็นแอลอีดีทีวี ที่จะโต 20 เท่า หรือขายได้ในปีนี้ 2แสนเครื่อง ส่วนแอลซีดีทีวีจะมียอดขาย 410,000 เครื่อง หรือโต 40% และตั้งเป้าจะครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 50% ในแง่จำนวน แต่หากในแง่ของมูลค่าตลาดแล้วคาดว่าจะมีถึง 70%
แน่นอนว่า ไม่เฉพาะซัมซุงเท่านั้น เร็วๆ นี้ค่ายโซนี่ พานาโซนิค และอื่นๆ คงเตรียมทยอยเปิดตัวโทรทัศน์ 3 มิติตามมา โดยเฉพาะโซนี่ ในฐานะสปอนเซอร์หลักของฟีฟ่า ได้ประกาศที่จะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในปีนี้ ด้วยกล้อง 3 มิติ โดยจะเลือกเฉพาะบางแมตช์ และแพร่ภาพไปยังเมือง7 เมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไป เช่น ในสหรัฐฯ ESPN ได้สิทธิ์ไป ส่วนประเทศอื่นๆ ต้องรอดูเหตุการณ์
ส่วนในไทย แม้จะไม่อยู่ใน 7 เมือง และยังไม่ได้วางตลาดทีวี 3 มิติ รวมถึงเครื่องบลูเรย์ ก็ตาม แต่โซนี่ร่วมมือกับพันธมิตร โคคา-โคลา, อาดิดาส สายการบินเอมิเรตส์ และฮุนได แคมเปญใหญ่รับฟุตบอลโลก 2010 โดย เดินสายจัดอีเวนต์ โหมโรงไปตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ชิงโชค ตั๋วเครื่องบิน และรางวัลต่างๆ เชื่อว่าอีกไม่นานกระแสฟุตบอลโลก 2010 จะกระตุ้นให้ตลาดทีวีปีนี้คงดุเดือด และคึกคักไม่แพ้เกมฟุตบอลในสนาม
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
'นพปฏล เจสัน จิรสันต์' ซื้อหุ้นSECCตามทาง'ปีเตอร์ ลินช์'
วันที่ 8 มิถุนายน 2553 01:00
http://www.bangkokbiznews.com/
เปิดตัว CEO หนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ 'เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์' เขาเลือกฝากชีวิตกับหุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนเต็มร้อยของตัวเอง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ชาญ เลิศประเสริฐภากร ได้ขายหุ้นเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ทั้งหมด 14.63%ให้แก่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ บุรุษนิรนาม ทำให้เขาถือครองหุ้น SECC อันดับหนึ่ง 137,667,000 ล้านหุ้น สัดส่วน 22.28% ที่ราคา 0.05 บาท คิดเป็นเงินลงทุน 6,883,350 บาท
แม้มูลค่าการลงทุนจะไม่มากแต่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ชายชื่อแปลกกลับน่าสนใจ ทั้งชื่อและหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็น "ฝรั่งลูกครึ่ง" และเหตุผลที่เข้ามาซื้อกิจการ "เน่าๆ" หุ้นถูกสั่งพักการซื้อขายไม่มีกำหนด และเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์...ถ้าไม่บ้าหมอนี่ก็คงเมา "เอาเงินมาทิ้ง"
แม้ว่าอนาคตของหุ้น SECC จะยังดูมืดมน แต่เจสันกลับใช้หุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนของตัวเอง
"หุ้น SECC จะเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม" เขาเชื่อ และถ้า สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ไม่โกงบริษัทจนทำให้ บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส กิจการ "พันล้าน" ย่อยยับมีหนี้สินรุงรัง มีหรือที่เจสันจะหอบเงินไม่ถึงสิบล้านบาทไปเป็นหุ้นใหญ่ (เจ้าของ) กิจการในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ได้ แม้เขาจะถือแค่ "เศษกระดาษ" แต่นี่คือบททดสอบแนวคิดการลงทุนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
หากเสิร์ชในกูเกิลชื่อ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ไม่ใช่ "โนเนม" เสียทีเดียว หนุ่มหน้าฝรั่งพูดไทยชัดรายนี้ปรากฏข่าวอยู่เนื่องๆ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีดีเพลงแนวอินดี้รายใหญ่ในวงการดนตรีเมืองไทย และเป็นซีอีโอรักสนุกที่เคยลงคอลัมน์ CEO Way ในกรุงเทพธุรกิจ BizWeek มาแล้ว
ตามประวัติที่ถูกระบุในกูเกิล เจสัน คือผู้รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เขาจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก St.Louis University ควบปริญญาโท Business Economics จาก Bentley University สหรัฐอเมริกา เคยทำงานที่ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อหลายปีก่อน
"การเข้ามาถือหุ้น SECC ครั้งนี้ ผมไม่ได้เป็นนอมินีของใครแน่นอน" เจสัน ยืนยันกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ที่ออฟฟิศย่านถนนพระรามเก้าเมื่อไม่นานนี้
การเข้าซื้อหุ้น SECC เจสันยืนยันไม่รู้จักผู้บริหารกับผู้ถือหุ้นชุดเดิมเป็นการส่วนตัวเลยสักคน คนในบริษัทนั้นจะรู้จักก็แค่เซลส์ขายรถยนต์เท่านั้นเอง ทำไม! ถึงกล้าซื้อหุ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้จักแบ็คกราวนด์บริษัทที่ดีพอ เขาบอกว่าถ้าตัดเรื่อง "ฉาว" ออกไปบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร เมื่อหลายปีก่อนเคยพาเพื่อนไปซื้อรถยนต์กับบริษัทนี้รู้สึกประทับใจในการให้บริการของเขา และเห็นคนเข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ ประกอบกับรู้มาว่าตลาดรถยนต์ "เกรย์มาร์เก็ต" (รถหรูนำเข้า) มีกำไรสูง นอกจากนี้มั่นใจว่าตลาดรถยนต์ในประเทศค่อนข้างใหญ่เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนไทยไปแล้ว
สรุปก็คือพอดีมีเงินเหลือและเป็นจังหวะคล้องจองกับราคาหุ้นตอนนั้นราคาก็ไม่สูง (0.05 บาท) ทีแรกคิดว่าจะซื้อไม่เยอะแต่ทำไปทำมากลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ส่วนใช้เงินไปเท่าไรผมไม่ขอบอกแล้วกัน (6,883,350 บาท)
นพปฏลมองการซื้อหุ้น SECC จำนวน 137.66 ล้านหุ้นครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว และไม่คิดที่จะเป็นบอร์ดบริหารแม้ทางฝ่ายนั้นจะเชิญ เพราะทุกวันนี้ก็มีงานประจำทำและไม่ชำนาญเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ แต่ก็แต่งตั้งทีมงานเข้าไปช่วยดูแล แต่เหตุผลข้อสำคัญก็คือหุ้นราคาแบกะดินตัวนี้วันหนึ่งมันต้อง "เทิร์นอะราวด์"
"บริษัทตอนนี้ยังเป็น Penny Stock อยู่ ผมไม่ได้เร่งรัดทีมผู้บริหารชุดเดิมให้รีบฟื้นธุรกิจเร็วๆ เพราะรู้ว่าไม่ง่ายคงใช้เวลา 2 ปี ที่จะกลับมา และคาดว่าต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไปถึงจะเทิร์นอะราวด์ได้"
สิ่งที่เน้นย้ำกับบอร์ดชุดปัจจุบันให้พยายามรักษามาตรฐานงานบริการให้ดีต่อเนื่องเพราะมองว่าเป็นจุดขายของบริษัทนี้ เรื่องเร่งด่วนต้องจัดการเรื่องงบการเงินตามที่ ก.ล.ต. แจ้งเตือนมา และรีบกลับมาทำธุรกรรมซื้อขายรถยนต์ตามปกติให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ทำธุรกิจแค่รับซ่อมรถให้ลูกค้าเดิม
"นี่เป็นการลงทุนหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งที่ถือนานที่สุดของผม เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วบริษัทนี้จะกลับมาได้แน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจดนตรีแต่หาญกล้ามาซื้อหุ้นบริษัทขายรถยนต์มั่นใจ
นพปฏล เล่าประสบการณ์การลงทุนของตัวเองว่าระหว่างเรียนปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ที่บอสตัน ต้องลงวิชาด้านการลงทุนทำให้รู้จักหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มลงทุนครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2540 ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐช่วงนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ตลาดหุ้นแนสแด็ก) กำลังบูมมาก อย่างพวก Microsoft, Yahoo ก็เริ่มเข้าไปลงทุนด้วยเงินหลัก "พันเหรียญ" ได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย ตอนนั้นซื้อหุ้นอะไรก็ขึ้นหมดได้เงินมาง่ายๆ
หลังเรียนจบเข้าไปทำงานที่ J.P.Morgan Chase และกลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ฝ่ายจัดการกองทุนดูแลด้านระบบ งาน 2 ที่นี้ช่วยหล่อหลอมแนวคิดการลงทุนให้ "คม" ยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าชีวิตเคยพลัดหลงเข้าไปลงทุนแบบ "เก็งกำไรรายวัน" กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากนั้นไม่นานฟองสบู่ดอทคอมก็แตก
ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นคือการพัฒนาความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จากเดิมจะเล่น "เดย์เทรด" (ไม่เอาหุ้นกลับบ้าน) ก็เริ่มรู้ว่าไม่ใช่ทางที่เหมาะกับตัวเอง สุดท้ายเหมือนการ "เล่นพนัน" ไปวันๆ จากที่ไม่เคยถือหุ้นตัวไหนนานๆ ก็เริ่มอ่านหนังสือการลงทุนของกูรูหลายคน จนค้นพบสไตล์ส่วนตัวในปัจจุบันคือเดินตามแนวทางของเซียนหุ้นบันลือโลก "ปีเตอร์ ลินช์"
เซียนดนตรีรายนี้ เผยว่า วิธีการลงทุนทุกวันนี้จะยึดหลักของปีเตอร์ ลินช์ คือตีค่าธุรกิจด้วยวิธีการเดินสำรวจกิจการ เหมือนกับที่ปีเตอร์ ลินช์ เดินดูร้านวอล-มาร์ทก่อนซื้อหุ้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติยิ่งกว่าแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์อีก
ยกตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อนเคยเดินสำรวจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ช่วงเริ่มขายอาหารแช่แข็ง และซีพีเอฟเริ่มขายอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น พอเห็นคนต่อแถวซื้อความคิดก็แว็บ!ขึ้นว่า หุ้น CPALL กับ CPF ต้องดีแน่ วันนี้ก็ดีจริงๆ นอกจากนี้ยังชอบเดินโฮมโปรเพราะสร้างบ้านหลังใหม่ เห็นคนเดินเยอะก็รู้ว่าหุ้น HMPRO ต้องกำไรดี อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนหุ้น SECC ก็ใช้หลักคิดแบบเดียวกันคือเดินสำรวจโชว์รูมเห็นว่าลูกค้าประทับใจมาใช้บริการ ธุรกิจก็น่าจะเดินไปได้ เพียงแต่มีปัญหาผู้บริหารฉ้อโกงบริษัทถึงได้เป็นแบบนี้
"บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ผมก็ดูนะแล้วก็มีออกไปคุยกับผู้บริหารด้วยบางทีคุยกับพนักงานเราก็รู้แล้วว่าดีหรือไม่ดี แต่จะให้ดีต้องดูของจริงกับตาตัวเอง"
เจสัน บอกว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในสถาบันการเงิน ทำให้รู้ว่าควรจะเลือกลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อ ทุกวันนี้จะซื้อ RMF และ LTF เพื่อประหยัดภาษีเต็มจำนวนทุกปี ส่วนการลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจะเล่น "ตามจังหวะ" จะลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงๆ และจะไม่ทุ่มซื้อก้อนเดียวหมดหน้าตัก เพราะคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงไม่เหมาะที่จะซื้อหุ้นครั้งเดียว
ความประทับใจที่นพปฏลพูดได้เต็มปากเต็มคำแม้พอร์ตลงทุนของเขาจะไม่ใหญ่ และไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะเกทับใครได้ แต่เจ้าตัวก็ภูมิใจกับผลตอบแทนที่สามารถ "เอาชนะ" ผลตอบแทนของกองทุนรวม "ทุกปี"
"ผมจะใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นช่วงที่หุ้นตกแรงๆ ทุกครั้ง ไม่ซื้อหนักในครั้งเดียว ช่วงนี้ผมกำลังมองว่าถ้าหุ้นลงไป 700 จุด ก็จะซื้ออีก" นี่คือวิธีการลงทุนแบบสวนกระแสนักลงทุนส่วนใหญ่ และรู้จักคำว่ารอคอยโอกาส
นอกจากทรัพย์สินส่วนหนึ่งจะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้นแล้ว ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ นพปฏล ยังเลือกที่จะแบ่งเงินมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่า เขาเล่าว่า ตอนที่เรียนจบมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ก็เริ่มมีความคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าเราเก็บรายได้จากค่าเช่าสัก 18 ปี ก็เหมือนกับเราได้ห้องนั้นมาฟรีๆ พอหาเงินมาได้ก็นำไปซื้อมาปล่อยเช่าเพิ่มอีก ทำอย่างนี้เหมือนกับการเล่น "เกมเศรษฐี" มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีมีแต่ราคาเพิ่มขึ้น แถมยังได้ค่าเช่าทุกเดือน
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีบ้างส่วนใหญ่จะเน้นหุ้นบลูชิพเป็นหลักอย่างกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด และก็ BANPU ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 300 บาท ที่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ (พลังงาน) เพราะดูง่ายธุรกิจแข็งแกร่งอยู่แล้ว ถ้าเงินฝรั่งเข้ามาหุ้นก็ขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ยังชอบหุ้นธนาคารอย่าง SCB และ KBANK เพราะมีค่าเบต้าสูงราคาหุ้นจะสวิงตัวแรง ตอนนี้กำลังชอบหุ้น CPF คาดว่ากำไรสุทธิปี 2553 จะเติบโตดี
“บางทีผมก็เล่นหุ้นตัวเล็กตัวน้อยบ้างเพื่อเก็งกำไรก็เจ็บตัวมาแต่ก็เป็นการเตือนตัวเราไม่ให้เข้าไปยุ่งกับมันอีก”
ถามถึงอนาคตในการลงทุนครั้งต่อไป เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสซื้อหุ้นในราคา "ถูก" อีกก็น่าสนใจ แต่คงใช้เงินไม่เยอะอีกแล้วเพราะกำลังลงทุนครั้งสำคัญของชีวิตเพื่ออนาคตของลูกโดยการสร้างบ้านหลังใหม่
ปัจจุบัน นพปฏล เป็นผู้ถือหุ้น 20% ในบริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2548 โดยกลุ่มคนที่มีพื้นฐานด้านธุรกิจและดนตรี ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ให้บริการด้านการตลาด จัดจำหน่าย กระจายสินค้า (CD,VCD,DVD) บริหารดิจิทัลคอนเทนท์ครบวงจร จัด Music Event จัดคอนเสิร์ต และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ www.you2play.com เขามีแผนจะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันได้ขยายงานเข้าไปทำเคเบิลทีวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีโดยตรงเพื่อเสริมรายได้ทางด้านคอนเทนท์ เขาเล่าว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นผู้บุกเบิกโมเดลธุรกิจด้านดนตรีรูปแบบใหม่เป็นรายแรก ปัจจุบันถือว่าเติบโตและประสบความสำเร็จพอสมควร และหวังว่าการลงทุนในหุ้น SECC จะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
"ผมชอบที่จะเป็นผู้บุกเบิกสร้างธุรกิจขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นที่แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง หรือ SECC ทั้งสองบริษัทคือการลงทุนระยะยาวของผม"
นพปฏล เจสัน จิรสันต์ เส้นทางสายธุรกิจดนตรีของเขากำลังโลดแล่น แต่ธุรกิจใหม่ เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ ที่เขาลงทุนจะแก้ปัญหา "หนี้" และส่วนทุน "ติดลบ" อย่างไร จะเสกใบหุ้น (เศษกระดาษ) ให้เป็น "เงินก้อนโต" และจะลงทุนหุ้น 10 เด้งเหมือนที่ ปีเตอร์ ลินช์ เคยทำสำเร็จหรือไม่
...วันนี้กองเชียร์ข้างสนามยังสงสัยว่าถ้าไม่บ้า...พี่ท่านก็คงเมา
Tags : นพปฏล เจสัน จิรสันต์ • เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส • SECC
http://www.bangkokbiznews.com/
เปิดตัว CEO หนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ 'เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์' เขาเลือกฝากชีวิตกับหุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนเต็มร้อยของตัวเอง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ชาญ เลิศประเสริฐภากร ได้ขายหุ้นเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ทั้งหมด 14.63%ให้แก่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ บุรุษนิรนาม ทำให้เขาถือครองหุ้น SECC อันดับหนึ่ง 137,667,000 ล้านหุ้น สัดส่วน 22.28% ที่ราคา 0.05 บาท คิดเป็นเงินลงทุน 6,883,350 บาท
แม้มูลค่าการลงทุนจะไม่มากแต่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ชายชื่อแปลกกลับน่าสนใจ ทั้งชื่อและหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็น "ฝรั่งลูกครึ่ง" และเหตุผลที่เข้ามาซื้อกิจการ "เน่าๆ" หุ้นถูกสั่งพักการซื้อขายไม่มีกำหนด และเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์...ถ้าไม่บ้าหมอนี่ก็คงเมา "เอาเงินมาทิ้ง"
แม้ว่าอนาคตของหุ้น SECC จะยังดูมืดมน แต่เจสันกลับใช้หุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนของตัวเอง
"หุ้น SECC จะเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม" เขาเชื่อ และถ้า สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ไม่โกงบริษัทจนทำให้ บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส กิจการ "พันล้าน" ย่อยยับมีหนี้สินรุงรัง มีหรือที่เจสันจะหอบเงินไม่ถึงสิบล้านบาทไปเป็นหุ้นใหญ่ (เจ้าของ) กิจการในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ได้ แม้เขาจะถือแค่ "เศษกระดาษ" แต่นี่คือบททดสอบแนวคิดการลงทุนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
หากเสิร์ชในกูเกิลชื่อ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ไม่ใช่ "โนเนม" เสียทีเดียว หนุ่มหน้าฝรั่งพูดไทยชัดรายนี้ปรากฏข่าวอยู่เนื่องๆ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีดีเพลงแนวอินดี้รายใหญ่ในวงการดนตรีเมืองไทย และเป็นซีอีโอรักสนุกที่เคยลงคอลัมน์ CEO Way ในกรุงเทพธุรกิจ BizWeek มาแล้ว
ตามประวัติที่ถูกระบุในกูเกิล เจสัน คือผู้รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เขาจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก St.Louis University ควบปริญญาโท Business Economics จาก Bentley University สหรัฐอเมริกา เคยทำงานที่ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อหลายปีก่อน
"การเข้ามาถือหุ้น SECC ครั้งนี้ ผมไม่ได้เป็นนอมินีของใครแน่นอน" เจสัน ยืนยันกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ที่ออฟฟิศย่านถนนพระรามเก้าเมื่อไม่นานนี้
การเข้าซื้อหุ้น SECC เจสันยืนยันไม่รู้จักผู้บริหารกับผู้ถือหุ้นชุดเดิมเป็นการส่วนตัวเลยสักคน คนในบริษัทนั้นจะรู้จักก็แค่เซลส์ขายรถยนต์เท่านั้นเอง ทำไม! ถึงกล้าซื้อหุ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้จักแบ็คกราวนด์บริษัทที่ดีพอ เขาบอกว่าถ้าตัดเรื่อง "ฉาว" ออกไปบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร เมื่อหลายปีก่อนเคยพาเพื่อนไปซื้อรถยนต์กับบริษัทนี้รู้สึกประทับใจในการให้บริการของเขา และเห็นคนเข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ ประกอบกับรู้มาว่าตลาดรถยนต์ "เกรย์มาร์เก็ต" (รถหรูนำเข้า) มีกำไรสูง นอกจากนี้มั่นใจว่าตลาดรถยนต์ในประเทศค่อนข้างใหญ่เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนไทยไปแล้ว
สรุปก็คือพอดีมีเงินเหลือและเป็นจังหวะคล้องจองกับราคาหุ้นตอนนั้นราคาก็ไม่สูง (0.05 บาท) ทีแรกคิดว่าจะซื้อไม่เยอะแต่ทำไปทำมากลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ส่วนใช้เงินไปเท่าไรผมไม่ขอบอกแล้วกัน (6,883,350 บาท)
นพปฏลมองการซื้อหุ้น SECC จำนวน 137.66 ล้านหุ้นครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว และไม่คิดที่จะเป็นบอร์ดบริหารแม้ทางฝ่ายนั้นจะเชิญ เพราะทุกวันนี้ก็มีงานประจำทำและไม่ชำนาญเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ แต่ก็แต่งตั้งทีมงานเข้าไปช่วยดูแล แต่เหตุผลข้อสำคัญก็คือหุ้นราคาแบกะดินตัวนี้วันหนึ่งมันต้อง "เทิร์นอะราวด์"
"บริษัทตอนนี้ยังเป็น Penny Stock อยู่ ผมไม่ได้เร่งรัดทีมผู้บริหารชุดเดิมให้รีบฟื้นธุรกิจเร็วๆ เพราะรู้ว่าไม่ง่ายคงใช้เวลา 2 ปี ที่จะกลับมา และคาดว่าต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไปถึงจะเทิร์นอะราวด์ได้"
สิ่งที่เน้นย้ำกับบอร์ดชุดปัจจุบันให้พยายามรักษามาตรฐานงานบริการให้ดีต่อเนื่องเพราะมองว่าเป็นจุดขายของบริษัทนี้ เรื่องเร่งด่วนต้องจัดการเรื่องงบการเงินตามที่ ก.ล.ต. แจ้งเตือนมา และรีบกลับมาทำธุรกรรมซื้อขายรถยนต์ตามปกติให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ทำธุรกิจแค่รับซ่อมรถให้ลูกค้าเดิม
"นี่เป็นการลงทุนหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งที่ถือนานที่สุดของผม เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วบริษัทนี้จะกลับมาได้แน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจดนตรีแต่หาญกล้ามาซื้อหุ้นบริษัทขายรถยนต์มั่นใจ
นพปฏล เล่าประสบการณ์การลงทุนของตัวเองว่าระหว่างเรียนปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ที่บอสตัน ต้องลงวิชาด้านการลงทุนทำให้รู้จักหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มลงทุนครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2540 ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐช่วงนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ตลาดหุ้นแนสแด็ก) กำลังบูมมาก อย่างพวก Microsoft, Yahoo ก็เริ่มเข้าไปลงทุนด้วยเงินหลัก "พันเหรียญ" ได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย ตอนนั้นซื้อหุ้นอะไรก็ขึ้นหมดได้เงินมาง่ายๆ
หลังเรียนจบเข้าไปทำงานที่ J.P.Morgan Chase และกลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ฝ่ายจัดการกองทุนดูแลด้านระบบ งาน 2 ที่นี้ช่วยหล่อหลอมแนวคิดการลงทุนให้ "คม" ยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าชีวิตเคยพลัดหลงเข้าไปลงทุนแบบ "เก็งกำไรรายวัน" กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากนั้นไม่นานฟองสบู่ดอทคอมก็แตก
ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นคือการพัฒนาความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จากเดิมจะเล่น "เดย์เทรด" (ไม่เอาหุ้นกลับบ้าน) ก็เริ่มรู้ว่าไม่ใช่ทางที่เหมาะกับตัวเอง สุดท้ายเหมือนการ "เล่นพนัน" ไปวันๆ จากที่ไม่เคยถือหุ้นตัวไหนนานๆ ก็เริ่มอ่านหนังสือการลงทุนของกูรูหลายคน จนค้นพบสไตล์ส่วนตัวในปัจจุบันคือเดินตามแนวทางของเซียนหุ้นบันลือโลก "ปีเตอร์ ลินช์"
เซียนดนตรีรายนี้ เผยว่า วิธีการลงทุนทุกวันนี้จะยึดหลักของปีเตอร์ ลินช์ คือตีค่าธุรกิจด้วยวิธีการเดินสำรวจกิจการ เหมือนกับที่ปีเตอร์ ลินช์ เดินดูร้านวอล-มาร์ทก่อนซื้อหุ้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติยิ่งกว่าแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์อีก
ยกตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อนเคยเดินสำรวจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ช่วงเริ่มขายอาหารแช่แข็ง และซีพีเอฟเริ่มขายอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น พอเห็นคนต่อแถวซื้อความคิดก็แว็บ!ขึ้นว่า หุ้น CPALL กับ CPF ต้องดีแน่ วันนี้ก็ดีจริงๆ นอกจากนี้ยังชอบเดินโฮมโปรเพราะสร้างบ้านหลังใหม่ เห็นคนเดินเยอะก็รู้ว่าหุ้น HMPRO ต้องกำไรดี อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนหุ้น SECC ก็ใช้หลักคิดแบบเดียวกันคือเดินสำรวจโชว์รูมเห็นว่าลูกค้าประทับใจมาใช้บริการ ธุรกิจก็น่าจะเดินไปได้ เพียงแต่มีปัญหาผู้บริหารฉ้อโกงบริษัทถึงได้เป็นแบบนี้
"บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ผมก็ดูนะแล้วก็มีออกไปคุยกับผู้บริหารด้วยบางทีคุยกับพนักงานเราก็รู้แล้วว่าดีหรือไม่ดี แต่จะให้ดีต้องดูของจริงกับตาตัวเอง"
เจสัน บอกว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในสถาบันการเงิน ทำให้รู้ว่าควรจะเลือกลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อ ทุกวันนี้จะซื้อ RMF และ LTF เพื่อประหยัดภาษีเต็มจำนวนทุกปี ส่วนการลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจะเล่น "ตามจังหวะ" จะลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงๆ และจะไม่ทุ่มซื้อก้อนเดียวหมดหน้าตัก เพราะคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงไม่เหมาะที่จะซื้อหุ้นครั้งเดียว
ความประทับใจที่นพปฏลพูดได้เต็มปากเต็มคำแม้พอร์ตลงทุนของเขาจะไม่ใหญ่ และไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะเกทับใครได้ แต่เจ้าตัวก็ภูมิใจกับผลตอบแทนที่สามารถ "เอาชนะ" ผลตอบแทนของกองทุนรวม "ทุกปี"
"ผมจะใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นช่วงที่หุ้นตกแรงๆ ทุกครั้ง ไม่ซื้อหนักในครั้งเดียว ช่วงนี้ผมกำลังมองว่าถ้าหุ้นลงไป 700 จุด ก็จะซื้ออีก" นี่คือวิธีการลงทุนแบบสวนกระแสนักลงทุนส่วนใหญ่ และรู้จักคำว่ารอคอยโอกาส
นอกจากทรัพย์สินส่วนหนึ่งจะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้นแล้ว ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ นพปฏล ยังเลือกที่จะแบ่งเงินมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่า เขาเล่าว่า ตอนที่เรียนจบมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ก็เริ่มมีความคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าเราเก็บรายได้จากค่าเช่าสัก 18 ปี ก็เหมือนกับเราได้ห้องนั้นมาฟรีๆ พอหาเงินมาได้ก็นำไปซื้อมาปล่อยเช่าเพิ่มอีก ทำอย่างนี้เหมือนกับการเล่น "เกมเศรษฐี" มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีมีแต่ราคาเพิ่มขึ้น แถมยังได้ค่าเช่าทุกเดือน
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีบ้างส่วนใหญ่จะเน้นหุ้นบลูชิพเป็นหลักอย่างกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด และก็ BANPU ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 300 บาท ที่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ (พลังงาน) เพราะดูง่ายธุรกิจแข็งแกร่งอยู่แล้ว ถ้าเงินฝรั่งเข้ามาหุ้นก็ขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ยังชอบหุ้นธนาคารอย่าง SCB และ KBANK เพราะมีค่าเบต้าสูงราคาหุ้นจะสวิงตัวแรง ตอนนี้กำลังชอบหุ้น CPF คาดว่ากำไรสุทธิปี 2553 จะเติบโตดี
“บางทีผมก็เล่นหุ้นตัวเล็กตัวน้อยบ้างเพื่อเก็งกำไรก็เจ็บตัวมาแต่ก็เป็นการเตือนตัวเราไม่ให้เข้าไปยุ่งกับมันอีก”
ถามถึงอนาคตในการลงทุนครั้งต่อไป เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสซื้อหุ้นในราคา "ถูก" อีกก็น่าสนใจ แต่คงใช้เงินไม่เยอะอีกแล้วเพราะกำลังลงทุนครั้งสำคัญของชีวิตเพื่ออนาคตของลูกโดยการสร้างบ้านหลังใหม่
ปัจจุบัน นพปฏล เป็นผู้ถือหุ้น 20% ในบริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2548 โดยกลุ่มคนที่มีพื้นฐานด้านธุรกิจและดนตรี ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ให้บริการด้านการตลาด จัดจำหน่าย กระจายสินค้า (CD,VCD,DVD) บริหารดิจิทัลคอนเทนท์ครบวงจร จัด Music Event จัดคอนเสิร์ต และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ www.you2play.com เขามีแผนจะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันได้ขยายงานเข้าไปทำเคเบิลทีวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีโดยตรงเพื่อเสริมรายได้ทางด้านคอนเทนท์ เขาเล่าว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นผู้บุกเบิกโมเดลธุรกิจด้านดนตรีรูปแบบใหม่เป็นรายแรก ปัจจุบันถือว่าเติบโตและประสบความสำเร็จพอสมควร และหวังว่าการลงทุนในหุ้น SECC จะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
"ผมชอบที่จะเป็นผู้บุกเบิกสร้างธุรกิจขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นที่แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง หรือ SECC ทั้งสองบริษัทคือการลงทุนระยะยาวของผม"
นพปฏล เจสัน จิรสันต์ เส้นทางสายธุรกิจดนตรีของเขากำลังโลดแล่น แต่ธุรกิจใหม่ เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ ที่เขาลงทุนจะแก้ปัญหา "หนี้" และส่วนทุน "ติดลบ" อย่างไร จะเสกใบหุ้น (เศษกระดาษ) ให้เป็น "เงินก้อนโต" และจะลงทุนหุ้น 10 เด้งเหมือนที่ ปีเตอร์ ลินช์ เคยทำสำเร็จหรือไม่
...วันนี้กองเชียร์ข้างสนามยังสงสัยว่าถ้าไม่บ้า...พี่ท่านก็คงเมา
Tags : นพปฏล เจสัน จิรสันต์ • เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส • SECC
9 เหตุผล..ฝรั่งทิ้งหุ้นกว่า 5 หมื่นล้าน ทำไม! SET Index ถึง 'ไม่ลง' มาก
14 June 2010
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ผ่านไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่ใครเลยจะคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำกำไรกันอย่างอู้ฟู่ หลายบริษัทสามารถสร้างสถิติทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป บริษัทเหล่านี้น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ค่อยๆ มีกำไรขึ้นมา แล้วค่อยกลับมาทำกำไรอยู่ในระดับเดิมเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏ กลับกลายเป็นว่าแต่ละบริษัทสามารถทำกำไรกันอย่างถล่มทลายพลิกความคาดหมาย เราลองวิเคราะห์กันดูว่า อะไรเป็นเหตุผลให้บริษัทเหล่านั้นกลับมามีกำไรกันยกแผงทั้งกระดาน
1. คำสั่งซื้อล้นทะลัก
วันที่บริษัทเลแมน บราเดอร์สประกาศล้มละลาย เป็นเสมือนวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณว่าฟองสบู่ของประเทศตนแตกแล้ว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้ถือวันนั้นเป็นสัญญาณรีบรัดเข็มขัด ด้วยการหยุดซื้อวัตถุดิบชั่วคราว บริษัทที่เคยสต็อกวัตถุดิบเพื่อการผลิตไว้ 6 เดือน อาจจะหยุดซื้อวัตถุดิบไปเลยทันที รอให้วัตถุดิบเหลือเพียง 3 เดือนแล้วค่อยสั่งซื้อเพิ่ม
เพราะเขารู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ราคาวัตถุดิบมักจะถูกลงเสมอ หลายบริษัทจึงพยายามลดการสำรองวัตถุดิบให้น้อยที่สุด เพราะแน่ใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทต้องลดลงไปตามภาวะตลาดด้วย
ทุกบริษัทจะรอถึงวันที่เศรษฐกิจฟื้น เมื่อตลาดฟื้น บริษัทเหล่านี้จะกลับมาสำรองวัตถุดิบในระดับ 6 เดือนเช่นเดิม การที่จู่ๆ จะสั่งเพิ่มวัตถุดิบจากที่มีอยู่ 3 เดือนเป็น 5-6 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อล้นทะลัก ไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบหรือสินค้าทั่วไปจะปรับราคาขึ้นได้หรือไม่ แต่เมื่อสามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% ผลกำไรจากการผลิตจำนวนมาก (economy of scale) ทำให้กำไรไหลมาเทมา
2. คู่แข่งเหลือน้อยลง
เวลาเศรษฐกิจดี คู่แข่งใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเล็กๆ มักล้มหายตายจากไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมของบริษัทจะกลับคืนมา ลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่ล้มไป ก็มารุมสั่งซื้อสินค้าของบริษัทด้วย
ตามปกติอัตราการใช้กำลังผลิตของโรงงานอาจจะเคยอยู่ที่ 80% เมื่อเกิดวิกฤติอาจลดลงมาที่ 50% ครั้นเศรษฐกิจฟื้นจะพุ่งมาเป็น 100% แล้วอย่างนี้กำไรจะหายไปไหน
3. มาตรการลดต้นทุน แสดงผล
เวลาเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีความตื่นตัวที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่นการลดบุคลากรที่ไม่จำเป็น การประหยัดน้ำ-ไฟ หรือการลดความสูญเสียวัตถุดิบในขบวนการผลิต ในขณะที่พนักงานก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและตนเอง
ความร่วมมือร่วมใจนี้ ช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มาก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ผลของมาตรการนี้ยังดำรงอยู่ ต้นทุนลดต่ำลงในขณะที่ราคาขายของสินค้ากลับมาดีดังเดิม ส่วนต่างที่สูงขึ้น จะแปรรูปมาเป็นกำไรที่งดงามนั่นเอง
4. ราคาขายปรับขึ้นแล้ว แต่ราคาวัตถุดิบยังต่ำอยู่
เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทุกบริษัทพยายามจะขายสินค้าออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่กำลังซื้อมีน้อย จึงต้องใช้วิธีลดราคาสินค้า บางครั้งต้องยอมขายขาดทุน เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงที่ซื้อไว้ก่อนหน้าในช่วงที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดฟื้นตัว ผู้บริโภคต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ ราคาสินค้าค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับต่ำลง เพราะวัตถุดิบที่ซื้อไว้ระยะหลัง ตอนที่เศรษฐกิจซบเซามีราคาถูก (เหมือนกินบุญเก่า จากนโยบายการลงบัญชีแบบ FIFO / first in-first out) จนกระทั่งเมื่อวัตถุดิบราคาถูกหมดไป ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นทยอยเข้ามาทดแทน อาจจะทำให้กำไรลดลง จนกลับสู่สมดุลของกำไรปกติ
นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของบริษัทที่มีการตุนวัตถุดิบไว้หลายๆ เดือน เมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกต่ำจะแสดงผลขาดทุนจนน่าตกใจ แต่พอตลาดฟื้น ก็จะแสดงผลกำไรอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าลักษณะบุญทำกรรมเก่านั่นเอง
5. ต้นทุนทางการเงินยังไม่ปรับขึ้น
หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสักระยะหนึ่ง ดอกเบี้ยในตลาดการเงินมักจะลดต่ำลง ตามอุปสงค์การใช้เงินที่ลดน้อยลง ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรืออัตราดอกเบี้ยกู้ที่บริษัทเสนอขายให้ประชาชน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บางครั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง จึงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน ในระหว่างนี้บริษัทจึงได้รับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ยังต่ำ ทั้งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทไหนได้ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเอาไว้มาก เท่ากับได้เงินทุนต้นทุนต่ำไว้ใช้หลายปีทีเดียว
6. อานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมักออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับต่างๆ บางครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว แต่มาตรการของรัฐยังไม่หมดอายุ เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี หรือการลดเงินสมทบประกันสังคม ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่รายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ทำให้กำไรสุทธิที่ได้ ขยับสูงขึ้น
7. ได้เวลานำผลวิจัยมาใช้
บริษัทส่วนใหญ่มีแผนกวิจัยและพัฒนา บางครั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการวางสินค้า เพราะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องรอเศรษฐกิจฟื้น
ครั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้น บริษัทเหล่านี้ก็จะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่มักมีกำไร (มาร์จิน) มากกว่าปกติ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง จึงสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ
8. เศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้กลับมาใช้หนี้
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มักมีปัญหาสภาพคล่อง ลูกหนี้ของบริษัทโดยเฉพาะรายย่อยอาจจะหมุนเงินไม่ทัน ทำให้ขาดการชำระหนี้ หรืออาจจะขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป บางรายยืดเวลาออกไปนานมาก จนบริษัทต้องลงบัญชี ตั้งสำรองเป็นหนี้สูญ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร เขาจะมีเงินมาจ่ายหนี้
วันดีคืนดี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเจตนาคดโกง ก็จะกลับมาใช้หนี้ หรือขอประนอมหนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้ากลับคืนมา เงินที่คิดว่าสูญไปแล้ว กลับกลายมาเป็นรายได้ ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งทะยานได้
9. มีประสบการณ์ รับมือวิกฤติ
ข้อสุดท้าย แต่ว่าสำคัญที่สุด คือ บริษัทใหญ่ๆ ของไทย ส่วนใหญ่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรง ผู้บริหารบริษัทล้วนยังเข็ดหลาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติครั้งใหม่ในสหรัฐ หรือแม้แต่ในยุโรป บริษัทเหล่านี้จะหยุดความเสี่ยงทันที ด้วยการหยุดสต็อกสินค้า ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน หาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน หรือแม้แต่ตัดวงเงินเครดิตของลูกค้าที่มีความเสี่ยงแบบฉับพลัน
ผลที่ปรากฏออกมา จึงเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ ของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเลย และพร้อมที่จะผงาดขึ้นทันทีที่ตลาดโลกฟื้นตัว
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ละบริษัทคงไม่สามารถที่จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ครบทุกข้อ บางบริษัทมีปัจจัยบวกมากถึง 5 ข้อ ขณะที่บางบริษัทอาจมีปัจจัยบวกเพียงข้อเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งพรวดจนสะดุดตาได้
หวังว่ามันจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า ทำไม! กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/2553 ที่ผ่านมา จึงเติบโตถึง 85% ผลักดันให้ GDP ไตรมาสแรกของไทยพุ่งทะยาน 12% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบว่า ฝรั่งเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาทในพฤษภาคมเดือนเดียว ทำไมหุ้นไทยถึงลงไม่มาก คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ไม่รู้ว่าอย่างนี้ จะเรียกว่ามี "ฝีมือ" หรือ "ส้มหล่น" ดี เอาเป็นว่า "เก่ง" ด้วย "เฮง" ด้วย ก็แล้วกัน
Tags : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
http://www.bangkokbiznews.com
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ผ่านไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่ใครเลยจะคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำกำไรกันอย่างอู้ฟู่ หลายบริษัทสามารถสร้างสถิติทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป บริษัทเหล่านี้น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ค่อยๆ มีกำไรขึ้นมา แล้วค่อยกลับมาทำกำไรอยู่ในระดับเดิมเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏ กลับกลายเป็นว่าแต่ละบริษัทสามารถทำกำไรกันอย่างถล่มทลายพลิกความคาดหมาย เราลองวิเคราะห์กันดูว่า อะไรเป็นเหตุผลให้บริษัทเหล่านั้นกลับมามีกำไรกันยกแผงทั้งกระดาน
1. คำสั่งซื้อล้นทะลัก
วันที่บริษัทเลแมน บราเดอร์สประกาศล้มละลาย เป็นเสมือนวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณว่าฟองสบู่ของประเทศตนแตกแล้ว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้ถือวันนั้นเป็นสัญญาณรีบรัดเข็มขัด ด้วยการหยุดซื้อวัตถุดิบชั่วคราว บริษัทที่เคยสต็อกวัตถุดิบเพื่อการผลิตไว้ 6 เดือน อาจจะหยุดซื้อวัตถุดิบไปเลยทันที รอให้วัตถุดิบเหลือเพียง 3 เดือนแล้วค่อยสั่งซื้อเพิ่ม
เพราะเขารู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ราคาวัตถุดิบมักจะถูกลงเสมอ หลายบริษัทจึงพยายามลดการสำรองวัตถุดิบให้น้อยที่สุด เพราะแน่ใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทต้องลดลงไปตามภาวะตลาดด้วย
ทุกบริษัทจะรอถึงวันที่เศรษฐกิจฟื้น เมื่อตลาดฟื้น บริษัทเหล่านี้จะกลับมาสำรองวัตถุดิบในระดับ 6 เดือนเช่นเดิม การที่จู่ๆ จะสั่งเพิ่มวัตถุดิบจากที่มีอยู่ 3 เดือนเป็น 5-6 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อล้นทะลัก ไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบหรือสินค้าทั่วไปจะปรับราคาขึ้นได้หรือไม่ แต่เมื่อสามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% ผลกำไรจากการผลิตจำนวนมาก (economy of scale) ทำให้กำไรไหลมาเทมา
2. คู่แข่งเหลือน้อยลง
เวลาเศรษฐกิจดี คู่แข่งใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเล็กๆ มักล้มหายตายจากไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมของบริษัทจะกลับคืนมา ลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่ล้มไป ก็มารุมสั่งซื้อสินค้าของบริษัทด้วย
ตามปกติอัตราการใช้กำลังผลิตของโรงงานอาจจะเคยอยู่ที่ 80% เมื่อเกิดวิกฤติอาจลดลงมาที่ 50% ครั้นเศรษฐกิจฟื้นจะพุ่งมาเป็น 100% แล้วอย่างนี้กำไรจะหายไปไหน
3. มาตรการลดต้นทุน แสดงผล
เวลาเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีความตื่นตัวที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่นการลดบุคลากรที่ไม่จำเป็น การประหยัดน้ำ-ไฟ หรือการลดความสูญเสียวัตถุดิบในขบวนการผลิต ในขณะที่พนักงานก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและตนเอง
ความร่วมมือร่วมใจนี้ ช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มาก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ผลของมาตรการนี้ยังดำรงอยู่ ต้นทุนลดต่ำลงในขณะที่ราคาขายของสินค้ากลับมาดีดังเดิม ส่วนต่างที่สูงขึ้น จะแปรรูปมาเป็นกำไรที่งดงามนั่นเอง
4. ราคาขายปรับขึ้นแล้ว แต่ราคาวัตถุดิบยังต่ำอยู่
เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทุกบริษัทพยายามจะขายสินค้าออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่กำลังซื้อมีน้อย จึงต้องใช้วิธีลดราคาสินค้า บางครั้งต้องยอมขายขาดทุน เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงที่ซื้อไว้ก่อนหน้าในช่วงที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดฟื้นตัว ผู้บริโภคต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ ราคาสินค้าค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับต่ำลง เพราะวัตถุดิบที่ซื้อไว้ระยะหลัง ตอนที่เศรษฐกิจซบเซามีราคาถูก (เหมือนกินบุญเก่า จากนโยบายการลงบัญชีแบบ FIFO / first in-first out) จนกระทั่งเมื่อวัตถุดิบราคาถูกหมดไป ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นทยอยเข้ามาทดแทน อาจจะทำให้กำไรลดลง จนกลับสู่สมดุลของกำไรปกติ
นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของบริษัทที่มีการตุนวัตถุดิบไว้หลายๆ เดือน เมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกต่ำจะแสดงผลขาดทุนจนน่าตกใจ แต่พอตลาดฟื้น ก็จะแสดงผลกำไรอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าลักษณะบุญทำกรรมเก่านั่นเอง
5. ต้นทุนทางการเงินยังไม่ปรับขึ้น
หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสักระยะหนึ่ง ดอกเบี้ยในตลาดการเงินมักจะลดต่ำลง ตามอุปสงค์การใช้เงินที่ลดน้อยลง ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรืออัตราดอกเบี้ยกู้ที่บริษัทเสนอขายให้ประชาชน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บางครั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง จึงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน ในระหว่างนี้บริษัทจึงได้รับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ยังต่ำ ทั้งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทไหนได้ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเอาไว้มาก เท่ากับได้เงินทุนต้นทุนต่ำไว้ใช้หลายปีทีเดียว
6. อานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมักออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับต่างๆ บางครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว แต่มาตรการของรัฐยังไม่หมดอายุ เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี หรือการลดเงินสมทบประกันสังคม ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่รายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ทำให้กำไรสุทธิที่ได้ ขยับสูงขึ้น
7. ได้เวลานำผลวิจัยมาใช้
บริษัทส่วนใหญ่มีแผนกวิจัยและพัฒนา บางครั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการวางสินค้า เพราะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องรอเศรษฐกิจฟื้น
ครั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้น บริษัทเหล่านี้ก็จะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่มักมีกำไร (มาร์จิน) มากกว่าปกติ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง จึงสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ
8. เศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้กลับมาใช้หนี้
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มักมีปัญหาสภาพคล่อง ลูกหนี้ของบริษัทโดยเฉพาะรายย่อยอาจจะหมุนเงินไม่ทัน ทำให้ขาดการชำระหนี้ หรืออาจจะขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป บางรายยืดเวลาออกไปนานมาก จนบริษัทต้องลงบัญชี ตั้งสำรองเป็นหนี้สูญ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร เขาจะมีเงินมาจ่ายหนี้
วันดีคืนดี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเจตนาคดโกง ก็จะกลับมาใช้หนี้ หรือขอประนอมหนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้ากลับคืนมา เงินที่คิดว่าสูญไปแล้ว กลับกลายมาเป็นรายได้ ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งทะยานได้
9. มีประสบการณ์ รับมือวิกฤติ
ข้อสุดท้าย แต่ว่าสำคัญที่สุด คือ บริษัทใหญ่ๆ ของไทย ส่วนใหญ่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรง ผู้บริหารบริษัทล้วนยังเข็ดหลาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติครั้งใหม่ในสหรัฐ หรือแม้แต่ในยุโรป บริษัทเหล่านี้จะหยุดความเสี่ยงทันที ด้วยการหยุดสต็อกสินค้า ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน หาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน หรือแม้แต่ตัดวงเงินเครดิตของลูกค้าที่มีความเสี่ยงแบบฉับพลัน
ผลที่ปรากฏออกมา จึงเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ ของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเลย และพร้อมที่จะผงาดขึ้นทันทีที่ตลาดโลกฟื้นตัว
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ละบริษัทคงไม่สามารถที่จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ครบทุกข้อ บางบริษัทมีปัจจัยบวกมากถึง 5 ข้อ ขณะที่บางบริษัทอาจมีปัจจัยบวกเพียงข้อเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งพรวดจนสะดุดตาได้
หวังว่ามันจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า ทำไม! กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/2553 ที่ผ่านมา จึงเติบโตถึง 85% ผลักดันให้ GDP ไตรมาสแรกของไทยพุ่งทะยาน 12% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบว่า ฝรั่งเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาทในพฤษภาคมเดือนเดียว ทำไมหุ้นไทยถึงลงไม่มาก คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ไม่รู้ว่าอย่างนี้ จะเรียกว่ามี "ฝีมือ" หรือ "ส้มหล่น" ดี เอาเป็นว่า "เก่ง" ด้วย "เฮง" ด้วย ก็แล้วกัน
Tags : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
http://www.bangkokbiznews.com
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
NLP Neuro-linguistic Programming
NLP - เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยา ช่วยสร้างความสำเร็จได้อย่างไร
For English http://knowledgedim.blogspot.com/
NLP เชื่อว่า ปัญหาทางอารมณ์ของคนเรา เกิดจากการทำงานของ
ระบบประสาทและจิตใจ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย เกิดจากการลง
โปรแกรม หรือปลูกฝัง หรือสั่งสมทางประสบการณ์ ผ่านจิตสำนึก
และจิตใต้สำนึก ด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วถูกนำไปแปลความ
บนพื้นฐานความเชื่อที่ผิด ๆ แล้วจัดเก็บเป็นระบบความจำที่ไร้ระเบียบ
NLP พบว่า การทำงานของสมอง ความคิดหรือจิตใจ และการแสดง
ออกทางร่างกาย ล้วนเป็นเหตุเป็นผลและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสั่งการหรือคิด
หากมีการฝึกใช้ชุดคำสั่งทางภาษาที่ถูกวิธี ภาษา หรือถ้อยคำสั้น ๆ
จะเป็นตัวสับไกก่อให้เกิดการกระทำทุก ๆ อย่าง ให้เป็นผลสำเร็จได้
อย่างน่ามหัศจรรย์
มารู้จักกับ NLP กันก่อน
เทคโนโลยีนี้ ได้พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว โดย
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ และผู้ช่วย ดร. จอห์น กรินเดอร์
แห่งมหาวิทยาลัยซันตาครูซ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
และโด่งดังเป็นพลุแตกในสหรัฐอเมริกา และแพร่ไปทั่วโลกอย่าง
รวดเร็ว
เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตบำบัด
จิตแพทย์ นักพัฒนาศักยภาพ นักเจรจาต่อรอง นักการตลาด
นักขาย และนักพูดโน้มน้าวใจ
NLP ย่อมาจากคำว่า Neuro - Linguistic Programming
Neuro หมายถึง ระบบประสาทหรือระบบสมอง
เทคโนโลยี NLP ถือว่า มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ผ่าน ตา หู
จมูก ลิ้น และสัมผัส แล้วแปลความหมายผ่านกระบวนการคิด
โดยจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก แล้วกระบวนการคิดนี้ จะไปกระตุ้น
ให้ระบบประสาทหรือสมองทำงาน ก่อให้เกิดการแสดงออก
ทางอารมณ์และพฤติกรรม
Linguistic หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
ในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการใช้ภาษาไปแปล
ความ แล้วสื่อความไปยังตัวเองและบุคคลอื่น
เทคโนโลยี NLP พบว่า ถ้อยคำที่คุณคิดและพูด มีผลต่อ
พฤติกรรมของคุณโดยตรง
Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวิธีคิด วิธีใช้ภาษา
และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบ
การคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันจะส่งผลต่อการแสดงออกทาง
ร่างกายที่ดีเลิศ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์
ในรูปแบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้
การประเมินค่า และเพิ่มประสิทธิภาพความจำ เปรียบเสมือน
การลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้ว
ลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมอง
หากจะนิยาม NLP เสียใหม่ ให้สั้น เป็นข้อ ๆ ได้แก่
1. ศิลปะและศาสตร์ในการติดต่อสื่อสารแบบหวังผลเลิศ
2. กุญแจแห่งการเรียนรู้ที่ทรงพลัง
3. เคล็ดลับสู่เป้าหมายสำหรับทุก ๆ สิ่งที่ต้องการในชีวิต
4. คู่มือสำหรับพัฒนาระบบการคิด ระบบประสาทและสมอง
5. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
6. เทคโนโลยีผ่าตัดพฤติกรรมด้านลบ และสร้างตัวตนใหม่
เทคโนโลยี NLP จะกล่าวถึงหลัก ๆ ดังนี้
1. วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างคุณกับคนรอบข้าง หรือเรียนรู้วิธีสร้างมิตรภาพ
กับกลุ่มคนที่คุณอยากจะเป็นพวกเดียวกัน และเรียนรู้วิธี
ปฏิเสธที่นิ่มนวลในทุกสถานการณ์ คุณจะเรียนรู้ภาษา
กาย เพื่อเข้าถึงจิตใจและอารมณ์ของคนที่ต้องการจะ
ติดต่อสัมพันธ์ด้วย
2. การใช้ประสาทสัมผัส
เพื่อล้วงรู้อารมณ์และจิตใจของบุคคลอื่น ทันทีที่คุณได้
เห็น สีบ้าน อาหารที่คนอื่นรับประทาน เสื้อผ้าที่สวมใส่
เสียงที่พูด หรือกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ก็สามารถเข้าใจคน ๆ
นั้นได้ทะลุปรุโปร่ง
3. วิธีการคิดแบบหวังผลลัพธ์
เป็นวิธีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผน
ที่ไม่มีวันล้มเหลว
4. การยืดหยุ่นกับวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
หากคุณทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ผล หมายความว่า คุณ
ต้องเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆ คุณจะเรียนรู้เทคนิคความสำเร็จ
โดยวิธีการถอดแบบอย่างเป็นขั้นตอน จากคนที่ประสบความ
สำเร็จในอดีต
5. การสะกดจิตตนเอง
เทคโนโลยี NLP มีความโดดเด่นในเรื่อง การสะกดจิต
ตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เช่น การเลิกบุหรี่ เลิกติดสุรา
ลดความอ้วน เลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง สามารถทำได้
สำเร็จภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยวิธีการง่าย ๆ และ
เป็นการเปลี่ยนอย่างถาวร
6. รูปแบบพฤติกรรม
ชุดปฏิกิริยาที่ระบบประสาทออกคำสั่งให้ร่างกายทุกส่วน
ทำงานให้สอดคล้องกับความคิด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น คนโกรธจะ
มีอารมณ์แบบหนึ่ง ก็จะมีชุดปฏิกิริยาเกิดขึ้นทางร่างกาย
เป็นการเฉพาะ เช่น หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง
หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง กระเพาะบีบรัด หายใจสั้น
ไม่ทั่วท้อง ขณะที่คนดีใจ หรือมีความสุข ก็จะมีชุด
ปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน NLP จะสอนให้
ควบคุม แก้ไข และพัฒนาอารมณ์ทุก ๆ อย่าง ให้ทำงาน
ตามที่ต้องการ
NLP ถูกนำไปใช้ในการรักษา ผู้ป่วยทางจิต หรือการบำบัด
ผู้มีอาการทางอารมณ์ในระดับต่าง ๆ ผู้สิ้นหวัง เด็กเรียน
หนังสือไม่เก่ง ผลการเรียนตกต่ำ นักกีฬาอาชีพที่มีผลงานไม่ดี
อาการนอนไม่หลับ เครียด ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คน
ล้มเหลวทางธุรกิจ คนขาดเป้าหมายในชีวิต เป็นต้น และมีการ
นำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ การตัดสินใจ การกีฬา การทำงาน
การเงิน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการสร้างผลงานที่
โดดเด่นเป็นเลิศ และอื่น ๆ
ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่อง พอสังเขปเท่านั้น
1. เคล็ดลับสำคัญเรื่องความเชื่อ
เมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ ก็จะไม่มีความมั่นใจ
เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็อย่าหวังว่าจะมีพลังที่จะทำสิ่งใด
ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดความคิด ความรู้สึก การกระทำทุกอย่าง
ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน กำหนดการกิน การเดิน การนั่ง การใช้ชีวิต
การออกกำลังกายทุก ๆ อย่าง
หากต้องการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีอิสระทางการเงิน
มากขึ้น และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น มีวิธีง่าย ๆ วิธีเดียว คือ ต้องเปลี่ยน
ความเชื่อ เมื่อคุณเปลี่ยนความเชื่อ คุณก็จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
นั่นเอง
ขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. ระบุให้ชัดว่า ความเชื่ออะไรที่จำกัดชีวิตคุณไว้ และคุณต้อง
การจะเปลี่ยน
2. ค้นหาความเชื่อในระดับจิตวิญญาณภายใน
3. จดบันทึกการเชื่อมโยงความเชื่อ
4. ระบุลักษณะความรู้สึกสงสัย
5. เปรียบเทียบความเชื่อกับความสงสัย
6. ทดสอบลักษณะภาพฉากต่อฉาก
7. ริเริ่มความเชื่อใหม่
8. ตรวจสอบความเชื่อ
สรุปขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. แปลงความเชื่อเดิมที่ต้องการขจัดทิ้ง ให้กลายเป็นความสงสัย
2. ปลูกฝังความเชื่อใหม่ทับลงไปในความเชื่อเดิมทันที
3. ทำลายความเชื่อเดิม ขยายภาพความเชื่อใหม่
2 วิธีขจัดภาพฝังใจที่ไม่พึงประสงค์
คุณเคยเป็นเช่นนี้ไหม เรื่องเลวร้ายในอดีต หรือเรื่องเยี่ยมยอด
ที่จำฝังใจ
เรื่องเลวร้ายในอดีตแล้วนำกลับมาคิดซ้ำ ๆ แม้เวลาจะล่วงเลย
มานับสิบ ๆ ปี แล้วก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ เราไม่อยากจะคิดถึงมัน
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เรายังไม่รู้จักวิธีการควบคุมระบบความคิด
นั่นเอง
ในทางกลับกัน เรารู้สึกถึงความเยี่ยมยอดของวันหยุดที่จะมาถึง
ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวันนั้น แม้ว่าเมื่อถึงวันหยุดจริง ๆ
อาจจะไม่เยี่ยมยอดขนาดนั้นเลยก็ได้
แต่ละคนมักจะมีพฤติกรรมขัดแย้งกันเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถ
เปล่งศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างเต็มที่ บางครั้งร่างกายบาง
ส่วนไม่ตอบสนองเอาดื้อ ๆ เช่น คนกลัวพูดในที่ประชุม ทันทีที่
ยืนหน้าไมโครโฟน อาการขาสั่นมือไม้เกะกะจะเกิดขึ้นทันที ขณะที่
บางคนเปล่งเสียงแปลก ๆ จนขำตัวเอง ก็มีให้เห็น หรือแม้กระทั่ง
นักกีฬามืออาชีพที่ผ่านสนามมานักต่อนักแล้ว อยู่ ๆ เมื่อถึงวันแข่งขัน
จริง บางครั้งเกิดความเครียดหมดเรี่ยวแรงจนต้องถอนตัวไปก็มีให้
เห็นอยู่เสมอ ๆ
อาการทำนองนี้ นักประสาทวิทยาและนักพัฒนาศักยภาพบุคคลได้
ร่วมกันศึกษาวิจัยมาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ พบว่า ส่วนใหญ่เกิด
จากพฤติกรรมความกลัว หรือกังวล ที่แฝงอยู่ในระบบความคิดที่
ขัดแย้งกับสิ่งที่ต้องการทำ ภาพแห่งความกลัวหรือวิตกกังวลเหล่านั้น
ซุกซ่อนในจิตใต้สำนึกรอวันเปิดเผยออกมาเมื่อเวลาสุกงอม และ
เรามักไม่รู้ตัวล่วงหน้า
หรืออาจจะเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันเอง เช่น ต้องการ
อ่านหนังสือสอบ ต้องการสอบผ่าน หรือสอบให้ได้คะแนนดี แต่
ขณะเดียวกันในใจก็วางแผนการทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้โอกาสอ่าน
หนังสือลดน้อยลง หรือบางคนต้องการลดความอ้วน ขณะอยู่ใน
ขั้นตอนการลดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกินอาหารเกินความต้องการ
ตามที่เคยปฏิบัติจนเป็นนิสัย เห็นได้ว่า แต่ละคนจะมีพฤติกรรม
ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมายเหล่านี้
เป็นภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้วยความเคยชิน และหลบ
ซ่อนอยู่ แม้ว่าบางคนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะไม่กลับไปมี
พฤติกรรมเช่นนั้นอีก แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
วิธีทำลายภาพในใจที่ไม่พึงประสงค์
1. ตรวจสอบพฤติกรรม ระบุ และจำแนกให้เด่นชัดว่า อะไรคือ
พฤติกรรมที่ขัดแย้งกัน
2. สร้างภาพพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมาย และแต่งเติมภาพ
เป้าหมายหลักขึ้นในใจให้ชัดเจน
3. นำภาพในฝ่ามือทั้งสองข้างมารวมกัน
หากใครฝึกฝนจนชำนาญ สามารถขจัดอารมณ์ด้านลบทุก ๆ อย่าง
ให้หายไป ภายในเวลาไม่กี่วินาที
การค้นพบบางอย่างของศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าเรื่องนี้
จนพบว่า มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างน่าอัศจรรย์
ไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด ไม่ขึ้นอยู่กับอายุ และสามารถเรียนรู้ได้
รวดเร็วอย่างน่ากลัว มีสิ่งที่พึงระวังคือ ความสามารถนี้ครอบคลุม
ถึงการเรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี
วิธีควบคุมสมองตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่น
วิธีควบคุมสมองตนเอง มีขั้นตอนง่าย ๆ คือ หากต้องการความ
สำเร็จด้านใดก็ตาม คุณจะต้องขัดจังหวะพฤติกรรมเดิม ๆ เปลี่ยน
รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ แล้วทำสิ่งที่คุณสนใจอย่าง
หมกมุ่น ทุ่มเท ทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง ในที่สุดคุณจะสร้าง
ผลลัพธ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ๆ นี่เป็นวิธีการแสนจะง่ายดาย
แต่ทรงพลัง
วิธีฝึกความจำสำหรับคนความจำแย่
ศาสตราจารย์ แบนด์เลอร์ เล่าให้ฟังว่า "หากคุณเป็นคนความจำ
แย่ หรือนึกอะไรไม่ค่อยออก คราวต่อไป หากต้องการจำสิ่งใด
ให้คิดถึงสิ่งนั้นแล้วตีกรอบไว้ด้วยเส้นหนาสีดำ ใช้เวลาสักสองสาม
วินาที นึกถึงเรื่องนั้นอยู่ในกรอบสีดำ แล้วจินตนาการว่า นำภาพ
ในกรอบสีดำนั้นไปใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วดึงภาพเข้า ๆ ออก ๆ
ทำซ้ำ ๆ สักห้าหรือหกครั้งในจินตนาการ ภายในเวลาเสี้ยววินาที
คุณก็จะจำสิ่งนั้นไม่มีวันลืม"
การปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่
คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเรียน สุขภาพ การเงิน และความ
สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความคิด และความจำ
โดยการปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่ ด้วยการเข้าควบคุมสมองของ
คุณเอง
การควบคุมสมองจะทำให้คุณสามารถเป็นคนใหม่ได้ ด้วยวิธีการ
ง่าย ๆ เพียงแต่คุณเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด และการกระทำ
คุณก็จะเปลี่ยนทุกอย่างได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนมีพลังอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นที่ไม่คิดว่า
จะเป็นไปได้ มีชีวิตที่เหลือเชื่อ คุณจะสดใส มองเห็นอนาคต
ที่น่าตื่นเต้น มีคนรักมากขึ้น มีมิตรภาพที่ไม่มีวันหมดสิ้น แล้ว
ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความเครียด
ความกลัว วิตกกังวล หดหู่ หรือเศร้าหมอง ก็จะอยู่ภายใต้
การควบคุมของคุณและสามารถขจัดมันออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
สรุป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการแนะนำในเบื้องต้นเท่านั้นว่า NLP
เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยานี้คืออะไร และจะช่วยสร้างความ
สำเร็จได้อย่างไร และหากท่านสนใจ ขอเชิญศึกษาค้นคว้าต่อ
ทั้งหนังสือภาษาไทย และต่างประเทศ เช่น สืบค้นจาก
www.google.co.th ก็มีชาวต่างประเทศเขียนหนังสือตำราไว้
หลายเล่มด้วยกัน และยังมีบทเรียนในเรื่องนี้ให้ได้ศึกษาฟรีก็มี
ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปปฏิบัติให้ได้ผลดี เพื่อตัวท่านเอง
หรือบุตรหลานของท่านได้
บทความเสริมเกี่ยวกับ NLP ที่ควรทราบ
http://www.inboxstory.com/?p=222
------------
คัดย่อจาก : หนังสือ NLP ภาษา สมอง มหัศจรรย์ เทคโนโลยี
สร้างความสำเร็จชั่วข้ามคืน, วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์, สำนักพิมพ์ บานานา
สวีท, พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2551
For English http://knowledgedim.blogspot.com/
NLP เชื่อว่า ปัญหาทางอารมณ์ของคนเรา เกิดจากการทำงานของ
ระบบประสาทและจิตใจ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย เกิดจากการลง
โปรแกรม หรือปลูกฝัง หรือสั่งสมทางประสบการณ์ ผ่านจิตสำนึก
และจิตใต้สำนึก ด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วถูกนำไปแปลความ
บนพื้นฐานความเชื่อที่ผิด ๆ แล้วจัดเก็บเป็นระบบความจำที่ไร้ระเบียบ
NLP พบว่า การทำงานของสมอง ความคิดหรือจิตใจ และการแสดง
ออกทางร่างกาย ล้วนเป็นเหตุเป็นผลและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสั่งการหรือคิด
หากมีการฝึกใช้ชุดคำสั่งทางภาษาที่ถูกวิธี ภาษา หรือถ้อยคำสั้น ๆ
จะเป็นตัวสับไกก่อให้เกิดการกระทำทุก ๆ อย่าง ให้เป็นผลสำเร็จได้
อย่างน่ามหัศจรรย์
มารู้จักกับ NLP กันก่อน
เทคโนโลยีนี้ ได้พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว โดย
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ และผู้ช่วย ดร. จอห์น กรินเดอร์
แห่งมหาวิทยาลัยซันตาครูซ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
และโด่งดังเป็นพลุแตกในสหรัฐอเมริกา และแพร่ไปทั่วโลกอย่าง
รวดเร็ว
เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตบำบัด
จิตแพทย์ นักพัฒนาศักยภาพ นักเจรจาต่อรอง นักการตลาด
นักขาย และนักพูดโน้มน้าวใจ
NLP ย่อมาจากคำว่า Neuro - Linguistic Programming
Neuro หมายถึง ระบบประสาทหรือระบบสมอง
เทคโนโลยี NLP ถือว่า มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ผ่าน ตา หู
จมูก ลิ้น และสัมผัส แล้วแปลความหมายผ่านกระบวนการคิด
โดยจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก แล้วกระบวนการคิดนี้ จะไปกระตุ้น
ให้ระบบประสาทหรือสมองทำงาน ก่อให้เกิดการแสดงออก
ทางอารมณ์และพฤติกรรม
Linguistic หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
ในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการใช้ภาษาไปแปล
ความ แล้วสื่อความไปยังตัวเองและบุคคลอื่น
เทคโนโลยี NLP พบว่า ถ้อยคำที่คุณคิดและพูด มีผลต่อ
พฤติกรรมของคุณโดยตรง
Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวิธีคิด วิธีใช้ภาษา
และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบ
การคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันจะส่งผลต่อการแสดงออกทาง
ร่างกายที่ดีเลิศ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์
ในรูปแบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้
การประเมินค่า และเพิ่มประสิทธิภาพความจำ เปรียบเสมือน
การลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้ว
ลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมอง
หากจะนิยาม NLP เสียใหม่ ให้สั้น เป็นข้อ ๆ ได้แก่
1. ศิลปะและศาสตร์ในการติดต่อสื่อสารแบบหวังผลเลิศ
2. กุญแจแห่งการเรียนรู้ที่ทรงพลัง
3. เคล็ดลับสู่เป้าหมายสำหรับทุก ๆ สิ่งที่ต้องการในชีวิต
4. คู่มือสำหรับพัฒนาระบบการคิด ระบบประสาทและสมอง
5. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
6. เทคโนโลยีผ่าตัดพฤติกรรมด้านลบ และสร้างตัวตนใหม่
เทคโนโลยี NLP จะกล่าวถึงหลัก ๆ ดังนี้
1. วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างคุณกับคนรอบข้าง หรือเรียนรู้วิธีสร้างมิตรภาพ
กับกลุ่มคนที่คุณอยากจะเป็นพวกเดียวกัน และเรียนรู้วิธี
ปฏิเสธที่นิ่มนวลในทุกสถานการณ์ คุณจะเรียนรู้ภาษา
กาย เพื่อเข้าถึงจิตใจและอารมณ์ของคนที่ต้องการจะ
ติดต่อสัมพันธ์ด้วย
2. การใช้ประสาทสัมผัส
เพื่อล้วงรู้อารมณ์และจิตใจของบุคคลอื่น ทันทีที่คุณได้
เห็น สีบ้าน อาหารที่คนอื่นรับประทาน เสื้อผ้าที่สวมใส่
เสียงที่พูด หรือกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ก็สามารถเข้าใจคน ๆ
นั้นได้ทะลุปรุโปร่ง
3. วิธีการคิดแบบหวังผลลัพธ์
เป็นวิธีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผน
ที่ไม่มีวันล้มเหลว
4. การยืดหยุ่นกับวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
หากคุณทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ผล หมายความว่า คุณ
ต้องเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆ คุณจะเรียนรู้เทคนิคความสำเร็จ
โดยวิธีการถอดแบบอย่างเป็นขั้นตอน จากคนที่ประสบความ
สำเร็จในอดีต
5. การสะกดจิตตนเอง
เทคโนโลยี NLP มีความโดดเด่นในเรื่อง การสะกดจิต
ตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เช่น การเลิกบุหรี่ เลิกติดสุรา
ลดความอ้วน เลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง สามารถทำได้
สำเร็จภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยวิธีการง่าย ๆ และ
เป็นการเปลี่ยนอย่างถาวร
6. รูปแบบพฤติกรรม
ชุดปฏิกิริยาที่ระบบประสาทออกคำสั่งให้ร่างกายทุกส่วน
ทำงานให้สอดคล้องกับความคิด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น คนโกรธจะ
มีอารมณ์แบบหนึ่ง ก็จะมีชุดปฏิกิริยาเกิดขึ้นทางร่างกาย
เป็นการเฉพาะ เช่น หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง
หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง กระเพาะบีบรัด หายใจสั้น
ไม่ทั่วท้อง ขณะที่คนดีใจ หรือมีความสุข ก็จะมีชุด
ปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน NLP จะสอนให้
ควบคุม แก้ไข และพัฒนาอารมณ์ทุก ๆ อย่าง ให้ทำงาน
ตามที่ต้องการ
NLP ถูกนำไปใช้ในการรักษา ผู้ป่วยทางจิต หรือการบำบัด
ผู้มีอาการทางอารมณ์ในระดับต่าง ๆ ผู้สิ้นหวัง เด็กเรียน
หนังสือไม่เก่ง ผลการเรียนตกต่ำ นักกีฬาอาชีพที่มีผลงานไม่ดี
อาการนอนไม่หลับ เครียด ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คน
ล้มเหลวทางธุรกิจ คนขาดเป้าหมายในชีวิต เป็นต้น และมีการ
นำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ การตัดสินใจ การกีฬา การทำงาน
การเงิน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการสร้างผลงานที่
โดดเด่นเป็นเลิศ และอื่น ๆ
ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่อง พอสังเขปเท่านั้น
1. เคล็ดลับสำคัญเรื่องความเชื่อ
เมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ ก็จะไม่มีความมั่นใจ
เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็อย่าหวังว่าจะมีพลังที่จะทำสิ่งใด
ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดความคิด ความรู้สึก การกระทำทุกอย่าง
ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน กำหนดการกิน การเดิน การนั่ง การใช้ชีวิต
การออกกำลังกายทุก ๆ อย่าง
หากต้องการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีอิสระทางการเงิน
มากขึ้น และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น มีวิธีง่าย ๆ วิธีเดียว คือ ต้องเปลี่ยน
ความเชื่อ เมื่อคุณเปลี่ยนความเชื่อ คุณก็จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
นั่นเอง
ขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. ระบุให้ชัดว่า ความเชื่ออะไรที่จำกัดชีวิตคุณไว้ และคุณต้อง
การจะเปลี่ยน
2. ค้นหาความเชื่อในระดับจิตวิญญาณภายใน
3. จดบันทึกการเชื่อมโยงความเชื่อ
4. ระบุลักษณะความรู้สึกสงสัย
5. เปรียบเทียบความเชื่อกับความสงสัย
6. ทดสอบลักษณะภาพฉากต่อฉาก
7. ริเริ่มความเชื่อใหม่
8. ตรวจสอบความเชื่อ
สรุปขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. แปลงความเชื่อเดิมที่ต้องการขจัดทิ้ง ให้กลายเป็นความสงสัย
2. ปลูกฝังความเชื่อใหม่ทับลงไปในความเชื่อเดิมทันที
3. ทำลายความเชื่อเดิม ขยายภาพความเชื่อใหม่
2 วิธีขจัดภาพฝังใจที่ไม่พึงประสงค์
คุณเคยเป็นเช่นนี้ไหม เรื่องเลวร้ายในอดีต หรือเรื่องเยี่ยมยอด
ที่จำฝังใจ
เรื่องเลวร้ายในอดีตแล้วนำกลับมาคิดซ้ำ ๆ แม้เวลาจะล่วงเลย
มานับสิบ ๆ ปี แล้วก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ เราไม่อยากจะคิดถึงมัน
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เรายังไม่รู้จักวิธีการควบคุมระบบความคิด
นั่นเอง
ในทางกลับกัน เรารู้สึกถึงความเยี่ยมยอดของวันหยุดที่จะมาถึง
ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวันนั้น แม้ว่าเมื่อถึงวันหยุดจริง ๆ
อาจจะไม่เยี่ยมยอดขนาดนั้นเลยก็ได้
แต่ละคนมักจะมีพฤติกรรมขัดแย้งกันเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถ
เปล่งศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างเต็มที่ บางครั้งร่างกายบาง
ส่วนไม่ตอบสนองเอาดื้อ ๆ เช่น คนกลัวพูดในที่ประชุม ทันทีที่
ยืนหน้าไมโครโฟน อาการขาสั่นมือไม้เกะกะจะเกิดขึ้นทันที ขณะที่
บางคนเปล่งเสียงแปลก ๆ จนขำตัวเอง ก็มีให้เห็น หรือแม้กระทั่ง
นักกีฬามืออาชีพที่ผ่านสนามมานักต่อนักแล้ว อยู่ ๆ เมื่อถึงวันแข่งขัน
จริง บางครั้งเกิดความเครียดหมดเรี่ยวแรงจนต้องถอนตัวไปก็มีให้
เห็นอยู่เสมอ ๆ
อาการทำนองนี้ นักประสาทวิทยาและนักพัฒนาศักยภาพบุคคลได้
ร่วมกันศึกษาวิจัยมาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ พบว่า ส่วนใหญ่เกิด
จากพฤติกรรมความกลัว หรือกังวล ที่แฝงอยู่ในระบบความคิดที่
ขัดแย้งกับสิ่งที่ต้องการทำ ภาพแห่งความกลัวหรือวิตกกังวลเหล่านั้น
ซุกซ่อนในจิตใต้สำนึกรอวันเปิดเผยออกมาเมื่อเวลาสุกงอม และ
เรามักไม่รู้ตัวล่วงหน้า
หรืออาจจะเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันเอง เช่น ต้องการ
อ่านหนังสือสอบ ต้องการสอบผ่าน หรือสอบให้ได้คะแนนดี แต่
ขณะเดียวกันในใจก็วางแผนการทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้โอกาสอ่าน
หนังสือลดน้อยลง หรือบางคนต้องการลดความอ้วน ขณะอยู่ใน
ขั้นตอนการลดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกินอาหารเกินความต้องการ
ตามที่เคยปฏิบัติจนเป็นนิสัย เห็นได้ว่า แต่ละคนจะมีพฤติกรรม
ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมายเหล่านี้
เป็นภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้วยความเคยชิน และหลบ
ซ่อนอยู่ แม้ว่าบางคนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะไม่กลับไปมี
พฤติกรรมเช่นนั้นอีก แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
วิธีทำลายภาพในใจที่ไม่พึงประสงค์
1. ตรวจสอบพฤติกรรม ระบุ และจำแนกให้เด่นชัดว่า อะไรคือ
พฤติกรรมที่ขัดแย้งกัน
2. สร้างภาพพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมาย และแต่งเติมภาพ
เป้าหมายหลักขึ้นในใจให้ชัดเจน
3. นำภาพในฝ่ามือทั้งสองข้างมารวมกัน
หากใครฝึกฝนจนชำนาญ สามารถขจัดอารมณ์ด้านลบทุก ๆ อย่าง
ให้หายไป ภายในเวลาไม่กี่วินาที
การค้นพบบางอย่างของศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าเรื่องนี้
จนพบว่า มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างน่าอัศจรรย์
ไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด ไม่ขึ้นอยู่กับอายุ และสามารถเรียนรู้ได้
รวดเร็วอย่างน่ากลัว มีสิ่งที่พึงระวังคือ ความสามารถนี้ครอบคลุม
ถึงการเรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี
วิธีควบคุมสมองตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่น
วิธีควบคุมสมองตนเอง มีขั้นตอนง่าย ๆ คือ หากต้องการความ
สำเร็จด้านใดก็ตาม คุณจะต้องขัดจังหวะพฤติกรรมเดิม ๆ เปลี่ยน
รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ แล้วทำสิ่งที่คุณสนใจอย่าง
หมกมุ่น ทุ่มเท ทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง ในที่สุดคุณจะสร้าง
ผลลัพธ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ๆ นี่เป็นวิธีการแสนจะง่ายดาย
แต่ทรงพลัง
วิธีฝึกความจำสำหรับคนความจำแย่
ศาสตราจารย์ แบนด์เลอร์ เล่าให้ฟังว่า "หากคุณเป็นคนความจำ
แย่ หรือนึกอะไรไม่ค่อยออก คราวต่อไป หากต้องการจำสิ่งใด
ให้คิดถึงสิ่งนั้นแล้วตีกรอบไว้ด้วยเส้นหนาสีดำ ใช้เวลาสักสองสาม
วินาที นึกถึงเรื่องนั้นอยู่ในกรอบสีดำ แล้วจินตนาการว่า นำภาพ
ในกรอบสีดำนั้นไปใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วดึงภาพเข้า ๆ ออก ๆ
ทำซ้ำ ๆ สักห้าหรือหกครั้งในจินตนาการ ภายในเวลาเสี้ยววินาที
คุณก็จะจำสิ่งนั้นไม่มีวันลืม"
การปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่
คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเรียน สุขภาพ การเงิน และความ
สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความคิด และความจำ
โดยการปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่ ด้วยการเข้าควบคุมสมองของ
คุณเอง
การควบคุมสมองจะทำให้คุณสามารถเป็นคนใหม่ได้ ด้วยวิธีการ
ง่าย ๆ เพียงแต่คุณเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด และการกระทำ
คุณก็จะเปลี่ยนทุกอย่างได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนมีพลังอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นที่ไม่คิดว่า
จะเป็นไปได้ มีชีวิตที่เหลือเชื่อ คุณจะสดใส มองเห็นอนาคต
ที่น่าตื่นเต้น มีคนรักมากขึ้น มีมิตรภาพที่ไม่มีวันหมดสิ้น แล้ว
ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความเครียด
ความกลัว วิตกกังวล หดหู่ หรือเศร้าหมอง ก็จะอยู่ภายใต้
การควบคุมของคุณและสามารถขจัดมันออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
สรุป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการแนะนำในเบื้องต้นเท่านั้นว่า NLP
เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยานี้คืออะไร และจะช่วยสร้างความ
สำเร็จได้อย่างไร และหากท่านสนใจ ขอเชิญศึกษาค้นคว้าต่อ
ทั้งหนังสือภาษาไทย และต่างประเทศ เช่น สืบค้นจาก
www.google.co.th ก็มีชาวต่างประเทศเขียนหนังสือตำราไว้
หลายเล่มด้วยกัน และยังมีบทเรียนในเรื่องนี้ให้ได้ศึกษาฟรีก็มี
ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปปฏิบัติให้ได้ผลดี เพื่อตัวท่านเอง
หรือบุตรหลานของท่านได้
บทความเสริมเกี่ยวกับ NLP ที่ควรทราบ
http://www.inboxstory.com/?p=222
------------
คัดย่อจาก : หนังสือ NLP ภาษา สมอง มหัศจรรย์ เทคโนโลยี
สร้างความสำเร็จชั่วข้ามคืน, วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์, สำนักพิมพ์ บานานา
สวีท, พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)