วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

9 เหตุผล..ฝรั่งทิ้งหุ้นกว่า 5 หมื่นล้าน ทำไม! SET Index ถึง 'ไม่ลง' มาก

14 June 2010

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ผ่านไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่ใครเลยจะคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำกำไรกันอย่างอู้ฟู่ หลายบริษัทสามารถสร้างสถิติทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป บริษัทเหล่านี้น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ค่อยๆ มีกำไรขึ้นมา แล้วค่อยกลับมาทำกำไรอยู่ในระดับเดิมเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏ กลับกลายเป็นว่าแต่ละบริษัทสามารถทำกำไรกันอย่างถล่มทลายพลิกความคาดหมาย เราลองวิเคราะห์กันดูว่า อะไรเป็นเหตุผลให้บริษัทเหล่านั้นกลับมามีกำไรกันยกแผงทั้งกระดาน
1. คำสั่งซื้อล้นทะลัก
วันที่บริษัทเลแมน บราเดอร์สประกาศล้มละลาย เป็นเสมือนวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณว่าฟองสบู่ของประเทศตนแตกแล้ว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้ถือวันนั้นเป็นสัญญาณรีบรัดเข็มขัด ด้วยการหยุดซื้อวัตถุดิบชั่วคราว บริษัทที่เคยสต็อกวัตถุดิบเพื่อการผลิตไว้ 6 เดือน อาจจะหยุดซื้อวัตถุดิบไปเลยทันที รอให้วัตถุดิบเหลือเพียง 3 เดือนแล้วค่อยสั่งซื้อเพิ่ม
เพราะเขารู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ราคาวัตถุดิบมักจะถูกลงเสมอ หลายบริษัทจึงพยายามลดการสำรองวัตถุดิบให้น้อยที่สุด เพราะแน่ใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทต้องลดลงไปตามภาวะตลาดด้วย
ทุกบริษัทจะรอถึงวันที่เศรษฐกิจฟื้น เมื่อตลาดฟื้น บริษัทเหล่านี้จะกลับมาสำรองวัตถุดิบในระดับ 6 เดือนเช่นเดิม การที่จู่ๆ จะสั่งเพิ่มวัตถุดิบจากที่มีอยู่ 3 เดือนเป็น 5-6 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อล้นทะลัก ไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบหรือสินค้าทั่วไปจะปรับราคาขึ้นได้หรือไม่ แต่เมื่อสามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% ผลกำไรจากการผลิตจำนวนมาก (economy of scale) ทำให้กำไรไหลมาเทมา
2. คู่แข่งเหลือน้อยลง
เวลาเศรษฐกิจดี คู่แข่งใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเล็กๆ มักล้มหายตายจากไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมของบริษัทจะกลับคืนมา ลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่ล้มไป ก็มารุมสั่งซื้อสินค้าของบริษัทด้วย
ตามปกติอัตราการใช้กำลังผลิตของโรงงานอาจจะเคยอยู่ที่ 80% เมื่อเกิดวิกฤติอาจลดลงมาที่ 50% ครั้นเศรษฐกิจฟื้นจะพุ่งมาเป็น 100% แล้วอย่างนี้กำไรจะหายไปไหน
3. มาตรการลดต้นทุน แสดงผล
เวลาเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีความตื่นตัวที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่นการลดบุคลากรที่ไม่จำเป็น การประหยัดน้ำ-ไฟ หรือการลดความสูญเสียวัตถุดิบในขบวนการผลิต ในขณะที่พนักงานก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและตนเอง
ความร่วมมือร่วมใจนี้ ช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มาก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ผลของมาตรการนี้ยังดำรงอยู่ ต้นทุนลดต่ำลงในขณะที่ราคาขายของสินค้ากลับมาดีดังเดิม ส่วนต่างที่สูงขึ้น จะแปรรูปมาเป็นกำไรที่งดงามนั่นเอง
4. ราคาขายปรับขึ้นแล้ว แต่ราคาวัตถุดิบยังต่ำอยู่
เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทุกบริษัทพยายามจะขายสินค้าออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่กำลังซื้อมีน้อย จึงต้องใช้วิธีลดราคาสินค้า บางครั้งต้องยอมขายขาดทุน เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงที่ซื้อไว้ก่อนหน้าในช่วงที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดฟื้นตัว ผู้บริโภคต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ ราคาสินค้าค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับต่ำลง เพราะวัตถุดิบที่ซื้อไว้ระยะหลัง ตอนที่เศรษฐกิจซบเซามีราคาถูก (เหมือนกินบุญเก่า จากนโยบายการลงบัญชีแบบ FIFO / first in-first out) จนกระทั่งเมื่อวัตถุดิบราคาถูกหมดไป ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นทยอยเข้ามาทดแทน อาจจะทำให้กำไรลดลง จนกลับสู่สมดุลของกำไรปกติ
นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของบริษัทที่มีการตุนวัตถุดิบไว้หลายๆ เดือน เมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกต่ำจะแสดงผลขาดทุนจนน่าตกใจ แต่พอตลาดฟื้น ก็จะแสดงผลกำไรอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าลักษณะบุญทำกรรมเก่านั่นเอง
5. ต้นทุนทางการเงินยังไม่ปรับขึ้น
หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสักระยะหนึ่ง ดอกเบี้ยในตลาดการเงินมักจะลดต่ำลง ตามอุปสงค์การใช้เงินที่ลดน้อยลง ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรืออัตราดอกเบี้ยกู้ที่บริษัทเสนอขายให้ประชาชน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บางครั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง จึงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน ในระหว่างนี้บริษัทจึงได้รับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ยังต่ำ ทั้งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทไหนได้ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเอาไว้มาก เท่ากับได้เงินทุนต้นทุนต่ำไว้ใช้หลายปีทีเดียว
6. อานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมักออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับต่างๆ บางครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว แต่มาตรการของรัฐยังไม่หมดอายุ เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี หรือการลดเงินสมทบประกันสังคม ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่รายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ทำให้กำไรสุทธิที่ได้ ขยับสูงขึ้น
7. ได้เวลานำผลวิจัยมาใช้
บริษัทส่วนใหญ่มีแผนกวิจัยและพัฒนา บางครั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการวางสินค้า เพราะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องรอเศรษฐกิจฟื้น
ครั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้น บริษัทเหล่านี้ก็จะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่มักมีกำไร (มาร์จิน) มากกว่าปกติ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง จึงสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ
8. เศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้กลับมาใช้หนี้
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มักมีปัญหาสภาพคล่อง ลูกหนี้ของบริษัทโดยเฉพาะรายย่อยอาจจะหมุนเงินไม่ทัน ทำให้ขาดการชำระหนี้ หรืออาจจะขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป บางรายยืดเวลาออกไปนานมาก จนบริษัทต้องลงบัญชี ตั้งสำรองเป็นหนี้สูญ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร เขาจะมีเงินมาจ่ายหนี้
วันดีคืนดี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเจตนาคดโกง ก็จะกลับมาใช้หนี้ หรือขอประนอมหนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้ากลับคืนมา เงินที่คิดว่าสูญไปแล้ว กลับกลายมาเป็นรายได้ ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งทะยานได้
9. มีประสบการณ์ รับมือวิกฤติ
ข้อสุดท้าย แต่ว่าสำคัญที่สุด คือ บริษัทใหญ่ๆ ของไทย ส่วนใหญ่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรง ผู้บริหารบริษัทล้วนยังเข็ดหลาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติครั้งใหม่ในสหรัฐ หรือแม้แต่ในยุโรป บริษัทเหล่านี้จะหยุดความเสี่ยงทันที ด้วยการหยุดสต็อกสินค้า ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน หาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน หรือแม้แต่ตัดวงเงินเครดิตของลูกค้าที่มีความเสี่ยงแบบฉับพลัน
ผลที่ปรากฏออกมา จึงเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ ของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเลย และพร้อมที่จะผงาดขึ้นทันทีที่ตลาดโลกฟื้นตัว
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ละบริษัทคงไม่สามารถที่จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ครบทุกข้อ บางบริษัทมีปัจจัยบวกมากถึง 5 ข้อ ขณะที่บางบริษัทอาจมีปัจจัยบวกเพียงข้อเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งพรวดจนสะดุดตาได้
หวังว่ามันจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า ทำไม! กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/2553 ที่ผ่านมา จึงเติบโตถึง 85% ผลักดันให้ GDP ไตรมาสแรกของไทยพุ่งทะยาน 12% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบว่า ฝรั่งเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาทในพฤษภาคมเดือนเดียว ทำไมหุ้นไทยถึงลงไม่มาก คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ไม่รู้ว่าอย่างนี้ จะเรียกว่ามี "ฝีมือ" หรือ "ส้มหล่น" ดี เอาเป็นว่า "เก่ง" ด้วย "เฮง" ด้วย ก็แล้วกัน
Tags : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
http://www.bangkokbiznews.com