ค้าปลีก Sears, Kmart และ Macy ในสหรัฐฯ ปิดสาขารับปี 2017 : "ปี 2017 ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล"
ทุกครั้งที่ผู้เขียนเริ่มเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับการพลิกผัน (Disruption) จะมีความไม่สบายใจ เพราะเพื่อนๆ ผู้เขียนหลายท่าน รวมทั้งผู้ติดตามบทความก็กำลังทำธุรกิจที่มีแนวโน้มขาลงตามกระแสโลก ผู้เขียนเองต้องขออภัยผู้อ่านที่อ่านแล้วอาจจะไม่สบายใจ จึงขอเสนอแนะว่า เราสามารถเลือกอ่านหรือเสพสื่อใดก็ได้ที่ทำให้เราสบายใจ
ดังนั้นเพื่อความสบายใจก็ขอให้ท่านมองผ่านบทความของผู้เขียนไป แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนขอยืนยันว่า ในเนื้อหาทุกบทความของผู้เขียนจะไม่ใส่อคติใดๆ และข้อมูลจะมาจากแหล่ง reference ที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะระบุไว้ท้ายบทความเสมอ และผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านที่เปิดใจอดทนอ่านด้วยสติและปัญญาและปราศจากอารมณ์ จะได้รับประโยชน์จากบทความแน่นอน
วันนี้ผู้เขียนได้พูดคุยกับเพื่อนอเมริกันผ่าน whatsapp ในเรื่องวิกฤติของธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ จึงได้ค้นคว้าเพิ่มเติมข่าวสารให้ผู้อ่านได้รับทราบ
Sears ได้ตัดสินใจประกาศในช่วงปีใหม่ โดยปิดสาขากว่า 150 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของอุตสาหกรรมค้าปลีกของสหรัฐฯ อันสืบเนื่องมาจากการถูกท้าทายโดยร้านค้า online เช่น Amazon ซึ่งในสมัยที่ผู้เขียนเรียนปริญญาโทที่เมือง Atlanta มลรัฐจอร์เจีย ผู้เขียนมักจะหาเวลาพักผ่อนเดินเล่นหาซื้อของในร้านทั้งสองเสมอ โดยในขณะนั้นมี Sears และ Kmart ในมลรัฐจอร์เจียทั่วทุกแห่ง
Sears Holding Corp. (SHLD) ได้ประกาศว่าจะทำการปิดสาขาของ Kamart อีกถึง 109 สาขา และ outlets ของ Sears อีก 41 สาขา รวมไปถึงการยกเลิกแผนที่จะจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ช่างฝีมือ (Craftman tool) ภายใต้ตราสินค้า Stanley Black & Decker แต่ SHLD ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการจ้างงานของพนักงานแต่อย่างใด โดยการปิดสาขาในปี 2016 ก็ได้มีการปิดไปแล้ว 78 สาขา ส่วนในปี 2015 ปิดไปมากกว่า 200 สาขา
ซึ่งในปลายปี 2014 Eddie Lampert, CEO ของ Sears ได้ให้ข้อมูลว่า Sears อยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital transformation) โดยจะอยู่ในรูปแบบ membership-based และ e-commerce-centric retailer และกำลังสร้าง "Shop Your Way program" ขึ้นมา โดยจะค่อยๆ ลดสาขาที่เป็นกายภาพให้น้อยลงตามลำดับ
Macy ได้ประกาศรับปี 2017 เช่นกัน โดยปิด 68 สาขาและต้องให้พนักงานออกจากงาน 10,000 ตำแหน่ง เหตุการณ์นี้เกิดจากผลของรายได้การประกอบการที่ย่ำแย่ลงมาตลอด อีกทั้ง Macy ยังคาดว่าจะต้องปลดพนักงานอีก 3,900 ตำแหน่งจากแผนการปิดสาขาอีกอย่างต่อเนื่อง และยังต้องปลดพนักงานที่เกิดจากการปรับปรุงกระบวนการภายในองค์กรอีก 6,200 ตำแหน่ง
Macy ได้เปิดเผยด้วยว่า การตัดค่าใช้จ่ายของ Macy ด้วยการปลดพนักงานและปิดสาขาก็เพื่อนำเอางบประมาณของบริษัทไปมุงเน้นลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ซึ่งในปรากฏการณ์นี้ Prof. Mark Cohen ศาสตราจารย์ของ Columbia Business School ได้ให้ความเห็นว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการประกาศปิดสาขาและปลดพนักงานครั้งสุดท้ายของ Macy และยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และแน่นอน "more to come"
Prof. Mark Cohen ได้ให้ความเห็นด้วยว่า การที่องค์กรไม่ยินดีที่จะรับรู้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็จะได้รับผลนี้ นั่นก็คือการปิดตัวของธุรกิจในที่สุด
--------------
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. Hardvard Business Review ได้ลำดับก่อนหลังธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ จะถูก disrupt ดังนี้
(1) Media
(2) Telecom
(3) Financial services
(4) Retail
(5) Insurance
(6) Education
(7) Healthcare
2. ผู้บริหาร ที่มีวิสัยทัศน์จึงสามารถคาดการณ์การพลิกผัน (Disruption) ในอุตสาหกรรมได้ ก็จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถประเมินความสามารถขององค์กรในอนาคตได้ การจ้างบุคลากรที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขององค์กรได้ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้เกิดการตัดสินใจจากข้อมูล และมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่องค์กรที่เชี่ยวชาญทางดิจิทัล และเป็นที่แน่นอนว่า องค์กรที่ยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าวก็จะต้องกลายเป็นผู้ตาม และอาจถูกทิ้งอยู่ข้างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
Reference
[1] http://money.cnn.com/2017/01/05/investing/sears-kmart-closing-stores/
[2] http://fortune.com/2014/12/15/sears-ceo-lampert/
[3] http://money.cnn.com/2017/01/04/news/companies/macys-job-cuts-stock/index.html
[4] https://hbr.org/2016/03/the-industries-that-are-being-disrupted-the-most-by-digital
----------------
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม
www.เศรษฐพงค์.com
8 มกราคม 2560 10:00
-----------------
ที่มา http://www.stock2morrow.com/
8 Jan, 2017
ดังนั้นเพื่อความสบายใจก็ขอให้ท่านมองผ่านบทความของผู้เขียนไป แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนขอยืนยันว่า ในเนื้อหาทุกบทความของผู้เขียนจะไม่ใส่อคติใดๆ และข้อมูลจะมาจากแหล่ง reference ที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งจะระบุไว้ท้ายบทความเสมอ และผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านที่เปิดใจอดทนอ่านด้วยสติและปัญญาและปราศจากอารมณ์ จะได้รับประโยชน์จากบทความแน่นอน
วันนี้ผู้เขียนได้พูดคุยกับเพื่อนอเมริกันผ่าน whatsapp ในเรื่องวิกฤติของธุรกิจค้าปลีกในสหรัฐฯ จึงได้ค้นคว้าเพิ่มเติมข่าวสารให้ผู้อ่านได้รับทราบ
Sears ได้ตัดสินใจประกาศในช่วงปีใหม่ โดยปิดสาขากว่า 150 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของอุตสาหกรรมค้าปลีกของสหรัฐฯ อันสืบเนื่องมาจากการถูกท้าทายโดยร้านค้า online เช่น Amazon ซึ่งในสมัยที่ผู้เขียนเรียนปริญญาโทที่เมือง Atlanta มลรัฐจอร์เจีย ผู้เขียนมักจะหาเวลาพักผ่อนเดินเล่นหาซื้อของในร้านทั้งสองเสมอ โดยในขณะนั้นมี Sears และ Kmart ในมลรัฐจอร์เจียทั่วทุกแห่ง
Sears Holding Corp. (SHLD) ได้ประกาศว่าจะทำการปิดสาขาของ Kamart อีกถึง 109 สาขา และ outlets ของ Sears อีก 41 สาขา รวมไปถึงการยกเลิกแผนที่จะจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ช่างฝีมือ (Craftman tool) ภายใต้ตราสินค้า Stanley Black & Decker แต่ SHLD ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการจ้างงานของพนักงานแต่อย่างใด โดยการปิดสาขาในปี 2016 ก็ได้มีการปิดไปแล้ว 78 สาขา ส่วนในปี 2015 ปิดไปมากกว่า 200 สาขา
ซึ่งในปลายปี 2014 Eddie Lampert, CEO ของ Sears ได้ให้ข้อมูลว่า Sears อยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital transformation) โดยจะอยู่ในรูปแบบ membership-based และ e-commerce-centric retailer และกำลังสร้าง "Shop Your Way program" ขึ้นมา โดยจะค่อยๆ ลดสาขาที่เป็นกายภาพให้น้อยลงตามลำดับ
Macy ได้ประกาศรับปี 2017 เช่นกัน โดยปิด 68 สาขาและต้องให้พนักงานออกจากงาน 10,000 ตำแหน่ง เหตุการณ์นี้เกิดจากผลของรายได้การประกอบการที่ย่ำแย่ลงมาตลอด อีกทั้ง Macy ยังคาดว่าจะต้องปลดพนักงานอีก 3,900 ตำแหน่งจากแผนการปิดสาขาอีกอย่างต่อเนื่อง และยังต้องปลดพนักงานที่เกิดจากการปรับปรุงกระบวนการภายในองค์กรอีก 6,200 ตำแหน่ง
Macy ได้เปิดเผยด้วยว่า การตัดค่าใช้จ่ายของ Macy ด้วยการปลดพนักงานและปิดสาขาก็เพื่อนำเอางบประมาณของบริษัทไปมุงเน้นลงทุนในธุรกิจดิจิทัล ซึ่งในปรากฏการณ์นี้ Prof. Mark Cohen ศาสตราจารย์ของ Columbia Business School ได้ให้ความเห็นว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการประกาศปิดสาขาและปลดพนักงานครั้งสุดท้ายของ Macy และยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และแน่นอน "more to come"
Prof. Mark Cohen ได้ให้ความเห็นด้วยว่า การที่องค์กรไม่ยินดีที่จะรับรู้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็จะได้รับผลนี้ นั่นก็คือการปิดตัวของธุรกิจในที่สุด
--------------
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. Hardvard Business Review ได้ลำดับก่อนหลังธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ จะถูก disrupt ดังนี้
(1) Media
(2) Telecom
(3) Financial services
(4) Retail
(5) Insurance
(6) Education
(7) Healthcare
2. ผู้บริหาร ที่มีวิสัยทัศน์จึงสามารถคาดการณ์การพลิกผัน (Disruption) ในอุตสาหกรรมได้ ก็จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถประเมินความสามารถขององค์กรในอนาคตได้ การจ้างบุคลากรที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขององค์กรได้ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้เกิดการตัดสินใจจากข้อมูล และมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่องค์กรที่เชี่ยวชาญทางดิจิทัล และเป็นที่แน่นอนว่า องค์กรที่ยังไม่มีการดำเนินการดังกล่าวก็จะต้องกลายเป็นผู้ตาม และอาจถูกทิ้งอยู่ข้างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย
Reference
[1] http://money.cnn.com/2017/01/05/investing/sears-kmart-closing-stores/
[2] http://fortune.com/2014/12/15/sears-ceo-lampert/
[3] http://money.cnn.com/2017/01/04/news/companies/macys-job-cuts-stock/index.html
[4] https://hbr.org/2016/03/the-industries-that-are-being-disrupted-the-most-by-digital
----------------
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม
www.เศรษฐพงค์.com
8 มกราคม 2560 10:00
-----------------
ที่มา http://www.stock2morrow.com/
8 Jan, 2017
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น