พลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้น
ความลับของบัฟเฟทผมได้อ่านบทความของบัฟเฟทแล้ว มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การลงทุนแบบ Passive investor ที่เราเข้าใจว่าจะทำให้เรารวยเป็นเศรษฐีเหมือนเต่านั้น แท้ที่จริงแล้ว ยิ่งหยุดนิ่ง ยิ่งก้าวหน้ารวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพราะทุกย่างก้าวที่เราลงทุนแบบหยุดนิ่งนั้น กลับมีพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ ที่ผลักดันให้ผลตอบแทนของเราก้าวกระโดดผลตอบแทนที่มากนั้น มาจากพลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้นนั้นเองด้วยความเชื่อในพลังของดอกเบี้ยทบต้นนี้เองที่เป็นเคล็ดลับที่สำคัญที่ทำให้บัฟเฟทให้ความสำคัญในการคัดเลือกหุ้นที่มีการบริหารผลตอบแทนการลงทุนให้กับผุ้ถือหุ้นโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่น ๆ บัฟเฟทให้ความสำคัญของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นพลังที่ซ่อนเร้นในการขับเคลื่อนผลตอบแทนเพียงแต่พลังงานซ่อนเร้นนั้นต้องไม่ตก และอาศัยเงินปันผลจากการลงทุนในแต่ละปีที่สมทบเข้าไปเพิ่มอีกในแต่ละปี หรือพลังดอกเบี้ยทบต้น รวมกับพลังของอัตราผลตอบแทนในแต่ละปีที่บริษัททำได้เรามาดูกันว่า หากเราสามารถคัดเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทน ROE สุดยอด กล่าวคือ สามารถให้ผลตอบแทนสูงประมาณ 25% โดยเฉลี่ยในช่วง 30 ปี อะไรจะเกิดขึ้น หากเราค้นพบขุมทรัพย์ของหุ้นดังกล่าว และหลับไป 30 ปี แล้วตื่นขึ้นมาเมื่อครบ 30 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องสนใจกับการซื้อขายในแต่ละวัน แต่ละเดือน หรือแต่ละปีครับจากเครื่องคำนวณhttp://www.moneychimp.com/articles/valuation/stockvalue.htmเพียงคุณกดเครื่องคำนวณใน website นี้ แล้ว ใส่ข้อมูลตามข้างล่างนี้Current Principal: $ 1,000,000Annual Addition: $ 0Years to Grow: 30Growth Rate: % 25แล้วกดคำนวณดูครับFuture Value: $ 807,793,566.95จะเห็นตัวเลขที่มหัศจรรย์ 1 ตัวขึ้นมาก็คือ คุณจะตกใจทันทีเหมือนถูกล้อตเตอรี่รางวัลยิ่งใหญ่ในชีวิต คือจะรวยเป็นเศรษฐีทันทีจากเงินเริ่มต้นเพียง 1 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนรวมกับเงินต้น ณ ปีที่ 30 จะอยู่ที่ 807 ล้านบาทครับ ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับ อยู่นิ่ง ๆ แต่กลับเพิ่มผลตอบแทนที่สูงมาก ๆ เพียงแต่เราต้องสามารถเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสม่ำเสมอในแต่ละปีโดยเฉลี่ยให้ได้ปีละไม่น้อยกว่า 25% ครับดังนั้น เมื่อเราสามารถเลือกหุ้นที่สุดยอดได้แล้ว ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนเริ่มแรกของเราในแต่ละปีได้ปีละ 25% ครับเพียงอดทนและปล่อยให้ผลการดำเนินงานในแต่ละปีของบริษัที่เราลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้า เต่าที่ก้าวช้า ๆ ก็จะก้าวใหญ่ขึ้น เป็นก้าวแบบไดโนเสาร์ไม่รู้ตัวเลยครับลองไปกดเครื่องคำนวณดูนะครับดังนั้น ก้าวย่างช้า ๆ มั่นคง คัดเลือกหุ้นที่สุดยอดที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการลงทุนทั่วไป และใช้จังหวะการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำ เมื่อมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ระยะสั้นเข้ามามีผลกระทบกับหุ้นสุดยอดของเรา เมื่อซื้อได้แล้ว ก็เหมือนกันเราได้กำหนดผลตอบแทนได้เริ่มแรกแล้วครับต่อจากนั้น ก็เฝ้าดุการบริหารผลตอบแทนของการลงทุนของหุ้นที่เราเลือกแล้วว่าเป็นหุ้นสุดยอดของเรา เพื่อดุว่า ผลตอบแทน ROE นั้นยังทำได้ดีและยั่งยืนหรือไม่ในระยะยาวครับเลือกยากตอนแรก แต่ง่ายตอนหลังคือ อยู่นิ่ง ๆ ไม่ว่าภาวะของหุ้นจะผันผวนอย่างไรก็ตามครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=shareidea&month=09-2007&date=18&group=2&gblog=4
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553
อัตราดอกเบี้ยทบต้น
ออมเพิ่มค่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยทบต้น
โดย : เมธา ปิงสุทธิวงศ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุกๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาทหรือ 57.28 เท่า
ช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้ออมเงินหลายคนคงต้องเหนื่อยกับการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งเงินฝากและกองทุน ที่ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้นำเสนอกันมากมายในตลาด เพื่อเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนว่าผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินใดจะให้ผลตอบแทนที่อัตราดีกว่ากัน แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ออมเงินสามารถได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์จากเงินฝากหรือเงินที่ลงทุนไว้
โดยในฉบับนี้ผมจะมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งเดิมทีถ้าใครได้ยินคำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” แล้ว ก็มักจะนึกไปถึงเรื่องในแง่ร้าย คือ เงินกู้ที่หากชำระล่าช้าแล้วจะถูกคิด “ดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก” ซึ่งก็สร้างความรู้สึกว่าหากถูกคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแล้วจำนวนเงินที่จะต้องชำระจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
แต่หลายคนลืมมองกลับด้านว่าถ้าหากเป็นมุมของการออมเงินด้วยการฝากเงินหรือการลงทุนอื่นๆ ที่มีระยะยาว หรือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตามที่ผมได้กล่าวไว้ในฉบับที่ผ่านมาแล้ว คำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง และผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยคำนวณว่าจริงๆ แล้ว การลงทุนกับเงินก้อนหนึ่ง แล้วสมมุติว่าได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากเงินก้อนนั้นจะเป็นเท่าไหร่
ทั้งนี้การที่เราเริ่มต้นออมหรือลงทุน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนต่อปี โดยไม่ถอนออกมาหรือหากครบกำหนดก็มีการลงทุนต่อในจำนวนเงินที่ได้รับทั้งจำนวน (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ซึ่งจะทำให้เราจะมีผลตอบแทนที่ทบกับผลตอบแทนเดิมไปเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งนั่นก็คือหลักของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” นั่นเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
โดยผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” มีความน่าสนใจและจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไร..ดังนี้ครับ
หากเรานำเงินมาลงทุน จำนวน 1 บาท ครั้งเดียว โดยได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนอยู่ที่ 20 ปี เงินลงทุน 1 บาทของเราจะมีมูลค่าในปีที่ 20 เพิ่มเป็น 6.73 บาท หรือคิดเป็น 6 เท่า เกือบ 7 เท่า เลยครับ แต่หากผลตอบแทนที่เรากำหนดไว้อยู่ที่ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเรามีมูลค่าสูงถึง 16.37 บาท หรือ 16.37 เท่าครับ
แต่หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุก ๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาท หรือ 57.28 เท่าเลยครับ ดังนั้นการลงทุนยิ่งถี่ยิ่งดีครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะโตมากขึ้นเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ 1. เงินลงทุนเริ่มต้น 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาที่ลงทุนครับ
ในอีกมุมหนึ่งหากเราเลือกที่จะฝากเงินกับสถาบันการเงิน โดยเลือกระยะเวลาฝากยาว 20 ปี อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งหากฝากเงิน 1 บาทในปีที่ 20 ผลตอบแทนที่ได้จะเท่ากับ 1.81 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับการเลือกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการออมหรือการลงทุนนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะต้องมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยนะครับ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีการแพงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และหากเราเลือกลงทุนในส่วนที่ให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อหรือสูงกว่าเล็กน้อย ก็แสดงว่าการดำเนินชีวิตของเราจะยังอยู่ในระดับเดิม
แต่หากต้องการให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น ก็ต้องเลือกการออมหรือการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำเสนอก็มักจะกำหนดไว้ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้บ้างครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก อาทิ เช่น การลงทุนในหุ้นทุน กองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนทอง เป็นต้น แต่อย่าลืมคำนึงถึงเงินที่เราเอามาลงทุนด้วยนะครับว่าจะต้องไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินต้นที่เราลงทุนได้
สรุปแล้วเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับสำหรับการลงทุน ดังนั้นอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก และให้น้ำหนักกับการลงทุนในระยะยาว เพื่อผลตอบแทนที่จะเพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์ในอนาคตครับ
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ pr.tisco@gmail.com พบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
http://www.bangkokbiznews.com/
โดย : เมธา ปิงสุทธิวงศ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุกๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาทหรือ 57.28 เท่า
ช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้ออมเงินหลายคนคงต้องเหนื่อยกับการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ทั้งเงินฝากและกองทุน ที่ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้นำเสนอกันมากมายในตลาด เพื่อเปรียบเทียบถึงผลตอบแทนว่าผลิตภัณฑ์ของสถาบันการเงินใดจะให้ผลตอบแทนที่อัตราดีกว่ากัน แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ออมเงินสามารถได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์จากเงินฝากหรือเงินที่ลงทุนไว้
โดยในฉบับนี้ผมจะมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งเดิมทีถ้าใครได้ยินคำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” แล้ว ก็มักจะนึกไปถึงเรื่องในแง่ร้าย คือ เงินกู้ที่หากชำระล่าช้าแล้วจะถูกคิด “ดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก” ซึ่งก็สร้างความรู้สึกว่าหากถูกคิดอัตราดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแล้วจำนวนเงินที่จะต้องชำระจะมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก
แต่หลายคนลืมมองกลับด้านว่าถ้าหากเป็นมุมของการออมเงินด้วยการฝากเงินหรือการลงทุนอื่นๆ ที่มีระยะยาว หรือ การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตามที่ผมได้กล่าวไว้ในฉบับที่ผ่านมาแล้ว คำว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรบ้าง และผมเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยคำนวณว่าจริงๆ แล้ว การลงทุนกับเงินก้อนหนึ่ง แล้วสมมุติว่าได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี และอีก 20 ปีข้างหน้าผลตอบแทนจากเงินก้อนนั้นจะเป็นเท่าไหร่
ทั้งนี้การที่เราเริ่มต้นออมหรือลงทุน ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนต่อปี โดยไม่ถอนออกมาหรือหากครบกำหนดก็มีการลงทุนต่อในจำนวนเงินที่ได้รับทั้งจำนวน (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ซึ่งจะทำให้เราจะมีผลตอบแทนที่ทบกับผลตอบแทนเดิมไปเรื่อยๆ และผลตอบแทนที่ได้รับก็ย่อมจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ ซึ่งนั่นก็คือหลักของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” นั่นเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ
โดยผมจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” มีความน่าสนใจและจะสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอย่างไร..ดังนี้ครับ
หากเรานำเงินมาลงทุน จำนวน 1 บาท ครั้งเดียว โดยได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนอยู่ที่ 20 ปี เงินลงทุน 1 บาทของเราจะมีมูลค่าในปีที่ 20 เพิ่มเป็น 6.73 บาท หรือคิดเป็น 6 เท่า เกือบ 7 เท่า เลยครับ แต่หากผลตอบแทนที่เรากำหนดไว้อยู่ที่ 15% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเรามีมูลค่าสูงถึง 16.37 บาท หรือ 16.37 เท่าครับ
แต่หากเราลงทุนจำนวน 1 บาท ในทุก ๆ ปี ผลตอบแทน 10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุน 20 ปี เงินลงทุนของเราในปีที่ 20 จะมีมูลค่าสูงถึง 57.28 บาท หรือ 57.28 เท่าเลยครับ ดังนั้นการลงทุนยิ่งถี่ยิ่งดีครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้ก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจะโตมากขึ้นเท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับ 1. เงินลงทุนเริ่มต้น 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาที่ลงทุนครับ
ในอีกมุมหนึ่งหากเราเลือกที่จะฝากเงินกับสถาบันการเงิน โดยเลือกระยะเวลาฝากยาว 20 ปี อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งหากฝากเงิน 1 บาทในปีที่ 20 ผลตอบแทนที่ได้จะเท่ากับ 1.81 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับการเลือกลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการออมหรือการลงทุนนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทนที่จะต้องมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อด้วยนะครับ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อระยะยาวจะอยู่ที่ 3% ต่อปี ซึ่งหมายความว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีการแพงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และหากเราเลือกลงทุนในส่วนที่ให้อัตราผลตอบแทนเท่ากับเงินเฟ้อหรือสูงกว่าเล็กน้อย ก็แสดงว่าการดำเนินชีวิตของเราจะยังอยู่ในระดับเดิม
แต่หากต้องการให้การดำเนินชีวิตของเราดีขึ้น ก็ต้องเลือกการออมหรือการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในส่วนเงินฝากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินนำเสนอก็มักจะกำหนดไว้ให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่จะสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงควรเลือกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไว้บ้างครับ เพราะผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อค่อนข้างมาก อาทิ เช่น การลงทุนในหุ้นทุน กองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนทอง เป็นต้น แต่อย่าลืมคำนึงถึงเงินที่เราเอามาลงทุนด้วยนะครับว่าจะต้องไม่เป็นภาระกับการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินต้นที่เราลงทุนได้
สรุปแล้วเรื่องของ “อัตราดอกเบี้ยทบต้น” ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากครับสำหรับการลงทุน ดังนั้นอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ให้มาก และให้น้ำหนักกับการลงทุนในระยะยาว เพื่อผลตอบแทนที่จะเพิ่มพูนอย่างน่าอัศจรรย์ในอนาคตครับ
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ pr.tisco@gmail.com พบกันใหม่ตอนต่อไปครับ
http://www.bangkokbiznews.com/
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553
'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'
'นพ.บำรุง ศรีงาน' จาก 'หมอบ้านนอก' สู่ 'เซียนหุ้น VI'
เปิดใจ 'หมอสามัญชน' ประธานชมรมไทยวีไอดอทคอม จากเงินก้อนแรก 1.4ลบ. ผ่านไป 9ปี พอร์ตหุ้นทะยานแตะระดับ 'ร้อยล้าน' เขาทำได้ คุณก็ทำได้
ใครๆ ก็ยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆ ก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ "ครอบครัวศรีงาน" เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิตเป็นเดิมพัน
เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ "ทบต้น" และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น "นาย" ของเงินนับ "ร้อยล้านบาท" ในปัจจุบัน และใช้เงิน "ทำงาน" ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.."พี่หมอสามัญชน"
กลุ่มนักลงทุน "ไทยวีไอ" ที่ก่อตั้งโดยแกนนำอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฯลฯ เป็นผู้นำแนวคิดของปรมาจารย์การลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เบนจามิน เกรแฮม ปีเตอร์ ลินช์ มาปรับใช้กับการลงทุนแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว จนเกิดนักลงทุนทางเลือกที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน นพ.บำรุง ศรีงาน เป็นประธานชมรม "ไทยวีไอ" ที่หันเหชีวิตมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ส่วนตัวเขาเริ่มไต่ระดับพอร์ตหุ้นจากหลัก "ล้านบาท" สู่ระดับ "ร้อยล้านบาท" จากการเข้าลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ไอที ซิตี้ (IT) ผาแดงอินดัสทรี (PDI) เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) และไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) บางตัวมีกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยกับคุณหมอสามัญชนที่โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง คุณหมอนักลงทุน เปิดฉากชีวิตก่อนจะมาถึงจุดนี้ให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดีกว่าอาชีพอื่นแต่เริ่มมีความคิดว่าอายุเราก็เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานย่อมลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเพราะลูกทั้งสามคนโตขึ้นทุกวัน จึงตัดสินใจมองหาอาชีพเสริมตอนนั้นคิดจะเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
"แต่หลังจากไปฟังสรุปข้อมูลจากทางบริษัทคิดว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องลงไปบริหารร้านเองด้วย ต่อมามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ จับใจความสำคัญได้ว่าเราสามารถใช้เงินให้ทำงานได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บที่มีอยู่ 400,000-500,000 บาท จากการทำงานมาตลอด 7 ปี บวกกับกู้เงินสหกรณ์อีก 1,000,000 บาทนำไปลงทุน โดยไม่คิดฝากเงินในธนาคารเพราะตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1% ต่ำมาก"
ตอนนั้นในหัวคุณหมอคิดถึงทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ "อันดับแปด" ของโลกนั่นคือ “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีต่อเนื่อง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
"จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังได้เห็นโฆษณาขายหุ้นไอพีโอ ปตท. (PTT) แล้วเขาชูเรื่องจ่ายเงินปันผล 7% เยอะกว่าฝากเงินมากเลยตัดสินใจเปิดพอร์ตเดี๋ยวนั้นเลยกับ บล.เกียรตินาคิน"
ก้าวแรกในการลงทุนของคุณหมอยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดประสบการณ์และความรู้ยังไม่แน่น เริ่มซื้อหุ้นชุดแรก เช่น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ผ่านไปประมาณครึ่งปีขาดทุนไป 400,000 บาท
"เหตุผลที่ซื้อหุ้นตอนนั้นเพราะโบรกเกอร์บอกว่าหุ้นกลุ่มเกษตรจ่ายปันผลดีกว่า ปตท. มาขาดทุนหุ้น CFRESHเพราะดูงบการเงินในอดีตและปัจจุบันมันดี แต่ลืมดูแนวโน้มในอนาคต (จากที่คิดว่าถูกก็เลยกลายเป็นแพง)"
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมจนได้มาอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาช่วยเติมเต็มความรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้นจากหนังสือตีแตกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็น "เจ้าของกิจการ" กับการเป็น "นักลงทุน"
ข้อดีของการเป็นนักลงทุนคือเราสามารถเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงได้รวมถึงสามารถเลือกขายออกไปในราคาที่มากกว่ามูลค่าทางบัญชีได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของหุ้นก็ต้องกอดหุ้นตัวนั้นไปตลอดไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ดี
นอกจากนี้ เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจระดับประเทศได้โดยที่ไม่ต้องลงไปสร้างเองกับมือ คนทั่วไปคงไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน
"ผมเป็นข้าราชการกินเงินเดือน คงไม่มีเงินไปลงทุนธุรกิจใหญ่เองได้ แต่การเป็นนักลงทุนทุกอย่างเปิดโอกาสให้เราได้หมด หนังสือตีแตกยังสอนให้รู้จักการอ่านงบการเงินอย่างถูกต้องด้วย"
ปีที่สองของการลงทุน...กำไรเกือบ 3 ล้าน
พอในปี 2546 หมอบ้านนอกได้ค้นพบหนทางแห่งความร่ำรวยจากการใช้เงินทำงานตามแนวคิดของโรเบิร์ต คิโยซากิ และตีแตกแบบ ดร.นิเวศน์
ปีที่สองของการลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 323 จุด (ปี 2545) ทะยานขึ้นไป 802 จุด (ปี 2546) ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังท็อปฟอร์ม พอร์ตของ นพ.บำรุง ก็โตขึ้นมากกว่า 100% ด้วย ปีนั้นสามารถทำกำไรได้เกือบๆ 3,000,000 บาท แต่ปีถัดไปพอร์ตกลับมา "ติดลบ" อีกครั้ง หลังในปี 2547 ดัชนีดิ่งลงมาต่ำสุด 576 จุด เพราะปีก่อนขึ้นไปมากเกินไป รู้ซึ้งสัจธรรมตลาดหุ้นมีขึ้น-มีลง ขึ้นมากได้ก็ลงมากได้เช่นกัน และไม่มีหุ้นอะไรที่ดีตลอดไป
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่ได้กำไรในปี 2546 มาก มาจากภาพรวมดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไปมาก แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความรู้ที่แท้จริง ทำให้ต้องเริ่มต้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ขาดทุนอีก
จุดเปลี่ยนในฐานะแวลูอินเวสเตอร์อย่างเต็มตัวเกิดขึ้นจากการที่คุณหมอเริ่มเข้าไปพูดคุยในเว็บบอร์ด “ไทยวีไอดอทคอม” เป็นจุดหักเหทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดการลงทุนเชิงบูรณาการมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักลงทุน "รู้เขา-รู้เรา" ไม่ได้คิดเองคนเดียว จนถึงปีที่ห้าของการลงทุนเริ่มกลับมาได้กำไรประมาณ 20-30%
ถึงตรงนี้หมอบำรุงเริ่มอธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองให้ฟังว่าคล้ายๆ แต่ไม่เหมือนกับแนวทางของ ดร.นิเวศน์ที่ยึดหลักของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือค้นหา "หุ้นสุดยอด" (Great Stock) ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและอยู่กับมันให้นานที่สุด แต่วิธีการของหมอบำรุงจะค่อนไปทาง ปีเตอร์ ลินช์ และแนวทางของ เบนจามิน เกรแฮม ต้นตำรับการลงทุนแนววีไอ
ปีเตอร์ ลินช์ +เกรแฮม = หมอบำรุง
นพ.บำรุง บอกว่าถ้าเป็นแนวคิดของเบนจามิน เกรแฮม จะค้นหาหุ้นที่มีทรัพย์สินมากแต่ราคาถูก แต่ของปีเตอร์ ลินช์ จะเน้นลงทุนหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ในประเทศไทยหาหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนยาก และส่วนตัวมองธุรกิจกลุ่มนี้ได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง (เหมือน ดร.นิเวศน์) จึงเดินตามแนวทางที่ "ใช่" กับตัวเองมากกว่า
แม้แวลูอินเวสเตอร์ในประเทศไทยจะมีหลายแขนง (วอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, จอห์น เนฟฟ์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ฯลฯ) แต่แก่นของแนวคิดนี้มีอยู่ข้อเดียวคือ ราคาต้อง Under Value เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า ในแง่ราคาหุ้นจะต้องมีค่าพี/อี เรโช ต่ำ ยิ่งต่ำมากระดับเลขตัวเดียวหรือถ้าอยู่ที่ 3-4 เท่าได้จะดีมาก ข้อระวังคือต่อให้ราคาถูกมากแต่ไม่สามารถประเมินกำไรในอนาคตได้อย่างนี้ก็ "ไม่ควรซื้อ"
ถ้าเป็นหุ้นเติบโตค่อนข้างดูง่ายเพราะสามารถอ่านจากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ได้และดูแนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้นๆ ประกอบกันก็พอมองออก ที่ต้องระวังคือความเห็นของผู้บริหารควรต้องมีความเป็นไปได้คู่กับงบการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์จะดูยากที่สุด ขอให้โฟกัสไปที่ผู้บริหารเป็นหลักว่ามีความสามารถในการบริหารเพียงใด ถ้าย้อนไปดูสาเหตุที่บริษัทตกต่ำแล้ววิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาจะสามารถนำธุรกิจกลับมาได้หรือไม่
ส่วนหุ้นวัฏจักรส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมๆ อย่างเช่นธุรกิจเกษตรซึ่งมีวงจรสั้นที่สุด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นระยะกลาง ส่วนตัวจะชอบหุ้นที่มีวัฏจักรระยะยาว 10 ปี และจะเลือกซื้อตอนที่ธุรกิจอยู่ในช่วงสุดท้ายของ "ขาลง" และถ้ากลับมาเป็น "ขาขึ้น" ได้จริง ผลตอบแทนจะสูงมาก
ข้อแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นวัฏจักร ถ้าเป็น Growth Stock ส่วนใหญ่รายได้จะเติบโตประมาณ 10% ขึ้นไป และลูกค้าจะหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องอย่างเช่นหุ้นกลุ่มค้าปลีก แต่ถ้าเป็น Cyclical Stock รายได้จะโตมากกว่านั้น แต่ลูกค้าใช้บริการครั้งเดียวแล้วหยุดเลยอย่างเช่นพวกบ้านจัดสรร ปีนี้อาจจะดีแต่ปีหน้าไม่รู้แล้ว การคาดเดายากกว่าแต่ก็เป็นโอกาสให้เรามองเห็นช่องที่จะลงทุนได้
"ทุกครั้งหลังวิกฤติธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเสมอเพราะรัฐบาลจะเข้ามาอุ้มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกอย่างรถยนต์ตอนนี้เป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว" หมอสื่อว่าถ้าเรารู้จักสังเกตจะได้กำไรจากวิกฤติอย่างมาก
โฟกัสหุ้น 4 ตัว แทงหนักตัวที่ชอบ
วิธีการเลือกหุ้นของหมอบำรุงจะเลือกแบบโฟกัสหุ้นเพียง 4 ตัว แต่ในพอร์ตจะแบ่งเงินไม่เท่ากันจะใช้วิธีจัดอันดับและใส่เงินในหุ้นที่ "ชอบที่สุด..มากที่สุด" โดยจะดูที่ปัจจัยพื้นฐานก่อนว่าทำธุรกิจอะไร มีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง จุดแข็งคืออะไร วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค) ด้วย
หมอเลือกที่จะใช้เวลาในการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างหนักในตอนแรกเพื่อที่จะสบายในตอนหลัง โดยเฉพาะงบการเงินจะบอกถึง “สุขภาพ” ของบริษัทนั้นๆ ได้ดีที่สุดว่าคนคนนั้นอ่อนแอหรือแข็งแรง เก่งหรือไม่เก่ง เหมือนกับการวินิจฉัยโรคตามแนวทางของแพทย์
ในงบการเงินสิ่งที่หมอย้ำให้ต้องอ่านอันดับแรกคือ "ความเห็นผู้สอบบัญชี" ว่ามีคอมเมนท์พิเศษที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าเกินสามย่อหน้า (ตามมาตรฐานบัญชี) นี่ต้องระวังแล้ว
"ช่วงปีแรกๆ ผมไปซื้อหุ้นรอยเนท (ผู้บริหารแต่งบัญชี) เพราะดูแค่งบบรรทัดสุดท้ายกำไรสวยอย่างเดียวลืมดูความเห็นผู้สอบบัญชีที่บอกว่าไม่สามารถออกความเห็นได้ ปรากฏว่าจากนั้นขาดทุนมาตลอด"
ต่อมาคือการประเมิน "ผลกำไรในอนาคต" นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากกว่าไปตามข่าวในห้องค้าอย่างเช่นจะแจกวอร์แรนท์ เพิ่มทุน ควบรวมกิจการ บางทีก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าเราประเมินกำไรในอนาคตได้ยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ขอให้คิดแบบอนุรักษนิยมไว้บ้างอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากไป
ที่สำคัญที่สุดคือ "ราคา" หรือ "Valuation" ว่าถูกหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อหุ้นแพงแม้ว่าจะดีแค่ไหนเพราะเราจะไม่ได้กำไรแถมอาจขาดทุนด้วย ตัวอย่างรถเบ็นซ์ใครก็รู้ว่าดีแต่มีคนมาขายให้เรา 20 ล้านบาท คงไม่มีใครซื้อเพราะสามารถไปซื้อป้ายแดงที่ราคา 3-4 ล้านบาทก็ได้ แต่ถ้าซื้อของถูกมาก่อนเราสามารถขายต่อให้แพงขึ้นได้ถ้าหุ้นนั้นดีจริง...บทสรุปคือเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการให้ได้ (ไม่จำเป็นต้องเหมือนนักวิเคราะห์)
เขาให้ข้อสังเกตว่าหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมต่างกัน หุ้นที่ "หาเช้ากินค่ำ" คือทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ควรจะมีค่าพี/อี เรโชที่ 5-7 เท่า แต่หุ้นที่ "เติบโต" ควรมีมากกว่านั้น ส่วนในภาวะ "วิกฤติ" ค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3-4 เท่าถึงจะน่าลงทุน
คุณหมอย้ำว่าหุ้นที่ราคายุติธรรมมักจะไม่ใช่หุ้นตัวใหญ่ที่พวกนักลงทุนสถาบันกับนักวิเคราะห์จับตามอง แบบนั้นจะหาราคาถูกๆ ยาก หุ้นที่ Under Value อาจจะอยู่แบบรอดหูรอดตาเสมอ แต่ต้องระวังหุ้นสภาพคล่องต่ำไว้ด้วย
"พวกนักวิเคราะห์กับสถาบันเขายกหูคุยกับคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.) ได้แต่รายย่อยอย่างเราทำไม่ได้อย่าคิดไปแข่งเลย แต่ขอให้ดูหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสักวันละ 2-3 ล้านบาทขึ้นไปไม่งั้นเข้าออกลำบาก"
สัปดาห์หน้า..หมอบำรุงจะพาเราไปเจาะลึกถึง "เหตุ" และ "ผล" ในการตัดสินใจ "เลือกซื้อหุ้น" ที่ยกระดับให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนระดับ "ร้อยล้านบาท" จากหมอบ้านนอกสู่ "เซียนหุ้นวีไอ"
http://www.bangkokbiznews.com
ใครๆ ก็ยากรวยจากตลาดหุ้น แต่ใช่ว่าใครๆ ก็รวยได้ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มต้นคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้าของ "ครอบครัวศรีงาน" เขาตัดสินใจนำเงินเก็บก้อนเล็กๆ ที่ทำงานรับใช้คนไข้มาตลอด 7 ปี รวมกับเงินกู้สหกรณ์อีกก้อนหนึ่ง เริ่มเพาะต้นกล้าการลงทุนตามแนวทางแวลูอินเวสเตอร์โดยมีอนาคตลูกน้อยอีก 3 ชีวิตเป็นเดิมพัน
เวลาผ่านไป 9 ปี มหัศจรรย์ของการลงทุนแบบ "ทบต้น" และการทุ่มเทค้นหาเส้นทางแห่งความสำเร็จ ทำให้หมอบ้านนอกประกาศอิสรภาพทางการเงิน เป็น "นาย" ของเงินนับ "ร้อยล้านบาท" ในปัจจุบัน และใช้เงิน "ทำงาน" ราวกับเครื่องจักรอันทรงพลัง ทั้งยังแบ่งปันความรู้จนเป็นที่นับถือของพี่น้องชาวไทยวีไอดอทคอม ในฐานะ.."พี่หมอสามัญชน"
กลุ่มนักลงทุน "ไทยวีไอ" ที่ก่อตั้งโดยแกนนำอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ฯลฯ เป็นผู้นำแนวคิดของปรมาจารย์การลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เบนจามิน เกรแฮม ปีเตอร์ ลินช์ มาปรับใช้กับการลงทุนแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว จนเกิดนักลงทุนทางเลือกที่เลือกเดินบนเส้นทางสายนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน นพ.บำรุง ศรีงาน เป็นประธานชมรม "ไทยวีไอ" ที่หันเหชีวิตมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ส่วนตัวเขาเริ่มไต่ระดับพอร์ตหุ้นจากหลัก "ล้านบาท" สู่ระดับ "ร้อยล้านบาท" จากการเข้าลงทุนในหุ้นโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ไอที ซิตี้ (IT) ผาแดงอินดัสทรี (PDI) เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) และไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) บางตัวมีกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดพูดคุยกับคุณหมอสามัญชนที่โครงการบ้านจัดสรรแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง คุณหมอนักลงทุน เปิดฉากชีวิตก่อนจะมาถึงจุดนี้ให้ฟังว่า ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ แม้จะมีรายได้ค่อนข้างดีกว่าอาชีพอื่นแต่เริ่มมีความคิดว่าอายุเราก็เพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานย่อมลดลง แต่ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้นเพราะลูกทั้งสามคนโตขึ้นทุกวัน จึงตัดสินใจมองหาอาชีพเสริมตอนนั้นคิดจะเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น
"แต่หลังจากไปฟังสรุปข้อมูลจากทางบริษัทคิดว่าไม่คุ้มค่าเพราะต้องลงไปบริหารร้านเองด้วย ต่อมามีโอกาสได้อ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ จับใจความสำคัญได้ว่าเราสามารถใช้เงินให้ทำงานได้ จึงเริ่มวางแผนที่จะนำเงินเก็บที่มีอยู่ 400,000-500,000 บาท จากการทำงานมาตลอด 7 ปี บวกกับกู้เงินสหกรณ์อีก 1,000,000 บาทนำไปลงทุน โดยไม่คิดฝากเงินในธนาคารเพราะตอนนั้น (ช่วงปี 2545) ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 1% ต่ำมาก"
ตอนนั้นในหัวคุณหมอคิดถึงทฤษฎีของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ "อันดับแปด" ของโลกนั่นคือ “ดอกเบี้ยทบต้น” ถ้าเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% ทุกปี ตลอดระยะเวลา 20-30 ปีต่อเนื่อง ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ
"จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นหลังได้เห็นโฆษณาขายหุ้นไอพีโอ ปตท. (PTT) แล้วเขาชูเรื่องจ่ายเงินปันผล 7% เยอะกว่าฝากเงินมากเลยตัดสินใจเปิดพอร์ตเดี๋ยวนั้นเลยกับ บล.เกียรตินาคิน"
ก้าวแรกในการลงทุนของคุณหมอยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดประสบการณ์และความรู้ยังไม่แน่น เริ่มซื้อหุ้นชุดแรก เช่น ซีเฟรชอินดัสตรี (CFRESH) เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) ผ่านไปประมาณครึ่งปีขาดทุนไป 400,000 บาท
"เหตุผลที่ซื้อหุ้นตอนนั้นเพราะโบรกเกอร์บอกว่าหุ้นกลุ่มเกษตรจ่ายปันผลดีกว่า ปตท. มาขาดทุนหุ้น CFRESHเพราะดูงบการเงินในอดีตและปัจจุบันมันดี แต่ลืมดูแนวโน้มในอนาคต (จากที่คิดว่าถูกก็เลยกลายเป็นแพง)"
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมจนได้มาอ่านหนังสือ "ตีแตก" ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มาช่วยเติมเต็มความรู้ สิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้นจากหนังสือตีแตกสิ่งที่ ดร.นิเวศน์ ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็น "เจ้าของกิจการ" กับการเป็น "นักลงทุน"
ข้อดีของการเป็นนักลงทุนคือเราสามารถเลือกซื้อหุ้นในช่วงเวลาที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงได้รวมถึงสามารถเลือกขายออกไปในราคาที่มากกว่ามูลค่าทางบัญชีได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเจ้าของหุ้นก็ต้องกอดหุ้นตัวนั้นไปตลอดไม่ว่าธุรกิจจะดีหรือไม่ดี
นอกจากนี้ เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจระดับประเทศได้โดยที่ไม่ต้องลงไปสร้างเองกับมือ คนทั่วไปคงไม่มีเงินเป็นร้อยล้าน เป็นพันล้าน หรือหมื่นล้าน
"ผมเป็นข้าราชการกินเงินเดือน คงไม่มีเงินไปลงทุนธุรกิจใหญ่เองได้ แต่การเป็นนักลงทุนทุกอย่างเปิดโอกาสให้เราได้หมด หนังสือตีแตกยังสอนให้รู้จักการอ่านงบการเงินอย่างถูกต้องด้วย"
ปีที่สองของการลงทุน...กำไรเกือบ 3 ล้าน
พอในปี 2546 หมอบ้านนอกได้ค้นพบหนทางแห่งความร่ำรวยจากการใช้เงินทำงานตามแนวคิดของโรเบิร์ต คิโยซากิ และตีแตกแบบ ดร.นิเวศน์
ปีที่สองของการลงทุน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 323 จุด (ปี 2545) ทะยานขึ้นไป 802 จุด (ปี 2546) ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังท็อปฟอร์ม พอร์ตของ นพ.บำรุง ก็โตขึ้นมากกว่า 100% ด้วย ปีนั้นสามารถทำกำไรได้เกือบๆ 3,000,000 บาท แต่ปีถัดไปพอร์ตกลับมา "ติดลบ" อีกครั้ง หลังในปี 2547 ดัชนีดิ่งลงมาต่ำสุด 576 จุด เพราะปีก่อนขึ้นไปมากเกินไป รู้ซึ้งสัจธรรมตลาดหุ้นมีขึ้น-มีลง ขึ้นมากได้ก็ลงมากได้เช่นกัน และไม่มีหุ้นอะไรที่ดีตลอดไป
คุณหมอบอกว่า สาเหตุที่ได้กำไรในปี 2546 มาก มาจากภาพรวมดัชนีที่ปรับตัวขึ้นไปมาก แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความรู้ที่แท้จริง ทำให้ต้องเริ่มต้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเองใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ขาดทุนอีก
จุดเปลี่ยนในฐานะแวลูอินเวสเตอร์อย่างเต็มตัวเกิดขึ้นจากการที่คุณหมอเริ่มเข้าไปพูดคุยในเว็บบอร์ด “ไทยวีไอดอทคอม” เป็นจุดหักเหทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดการลงทุนเชิงบูรณาการมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักลงทุน "รู้เขา-รู้เรา" ไม่ได้คิดเองคนเดียว จนถึงปีที่ห้าของการลงทุนเริ่มกลับมาได้กำไรประมาณ 20-30%
ถึงตรงนี้หมอบำรุงเริ่มอธิบายสไตล์การลงทุนของตัวเองให้ฟังว่าคล้ายๆ แต่ไม่เหมือนกับแนวทางของ ดร.นิเวศน์ที่ยึดหลักของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือค้นหา "หุ้นสุดยอด" (Great Stock) ที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนและอยู่กับมันให้นานที่สุด แต่วิธีการของหมอบำรุงจะค่อนไปทาง ปีเตอร์ ลินช์ และแนวทางของ เบนจามิน เกรแฮม ต้นตำรับการลงทุนแนววีไอ
ปีเตอร์ ลินช์ +เกรแฮม = หมอบำรุง
นพ.บำรุง บอกว่าถ้าเป็นแนวคิดของเบนจามิน เกรแฮม จะค้นหาหุ้นที่มีทรัพย์สินมากแต่ราคาถูก แต่ของปีเตอร์ ลินช์ จะเน้นลงทุนหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ในประเทศไทยหาหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่มีศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนยาก และส่วนตัวมองธุรกิจกลุ่มนี้ได้ไม่ค่อยทะลุปรุโปร่ง (เหมือน ดร.นิเวศน์) จึงเดินตามแนวทางที่ "ใช่" กับตัวเองมากกว่า
แม้แวลูอินเวสเตอร์ในประเทศไทยจะมีหลายแขนง (วอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์, จอห์น เนฟฟ์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์ ฯลฯ) แต่แก่นของแนวคิดนี้มีอยู่ข้อเดียวคือ ราคาต้อง Under Value เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า ในแง่ราคาหุ้นจะต้องมีค่าพี/อี เรโช ต่ำ ยิ่งต่ำมากระดับเลขตัวเดียวหรือถ้าอยู่ที่ 3-4 เท่าได้จะดีมาก ข้อระวังคือต่อให้ราคาถูกมากแต่ไม่สามารถประเมินกำไรในอนาคตได้อย่างนี้ก็ "ไม่ควรซื้อ"
ถ้าเป็นหุ้นเติบโตค่อนข้างดูง่ายเพราะสามารถอ่านจากบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ได้และดูแนวโน้มของอุตสาหกรรมนั้นๆ ประกอบกันก็พอมองออก ที่ต้องระวังคือความเห็นของผู้บริหารควรต้องมีความเป็นไปได้คู่กับงบการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์จะดูยากที่สุด ขอให้โฟกัสไปที่ผู้บริหารเป็นหลักว่ามีความสามารถในการบริหารเพียงใด ถ้าย้อนไปดูสาเหตุที่บริษัทตกต่ำแล้ววิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาจะสามารถนำธุรกิจกลับมาได้หรือไม่
ส่วนหุ้นวัฏจักรส่วนมากจะเป็นธุรกิจเดิมๆ อย่างเช่นธุรกิจเกษตรซึ่งมีวงจรสั้นที่สุด ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นระยะกลาง ส่วนตัวจะชอบหุ้นที่มีวัฏจักรระยะยาว 10 ปี และจะเลือกซื้อตอนที่ธุรกิจอยู่ในช่วงสุดท้ายของ "ขาลง" และถ้ากลับมาเป็น "ขาขึ้น" ได้จริง ผลตอบแทนจะสูงมาก
ข้อแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นวัฏจักร ถ้าเป็น Growth Stock ส่วนใหญ่รายได้จะเติบโตประมาณ 10% ขึ้นไป และลูกค้าจะหมุนเวียนเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องอย่างเช่นหุ้นกลุ่มค้าปลีก แต่ถ้าเป็น Cyclical Stock รายได้จะโตมากกว่านั้น แต่ลูกค้าใช้บริการครั้งเดียวแล้วหยุดเลยอย่างเช่นพวกบ้านจัดสรร ปีนี้อาจจะดีแต่ปีหน้าไม่รู้แล้ว การคาดเดายากกว่าแต่ก็เป็นโอกาสให้เรามองเห็นช่องที่จะลงทุนได้
"ทุกครั้งหลังวิกฤติธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเสมอเพราะรัฐบาลจะเข้ามาอุ้มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกอย่างรถยนต์ตอนนี้เป็นปัจจัยที่ห้าไปแล้ว" หมอสื่อว่าถ้าเรารู้จักสังเกตจะได้กำไรจากวิกฤติอย่างมาก
โฟกัสหุ้น 4 ตัว แทงหนักตัวที่ชอบ
วิธีการเลือกหุ้นของหมอบำรุงจะเลือกแบบโฟกัสหุ้นเพียง 4 ตัว แต่ในพอร์ตจะแบ่งเงินไม่เท่ากันจะใช้วิธีจัดอันดับและใส่เงินในหุ้นที่ "ชอบที่สุด..มากที่สุด" โดยจะดูที่ปัจจัยพื้นฐานก่อนว่าทำธุรกิจอะไร มีข้อได้เปรียบอะไรบ้าง จุดแข็งคืออะไร วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส-อุปสรรค) ด้วย
หมอเลือกที่จะใช้เวลาในการวิเคราะห์ธุรกิจอย่างหนักในตอนแรกเพื่อที่จะสบายในตอนหลัง โดยเฉพาะงบการเงินจะบอกถึง “สุขภาพ” ของบริษัทนั้นๆ ได้ดีที่สุดว่าคนคนนั้นอ่อนแอหรือแข็งแรง เก่งหรือไม่เก่ง เหมือนกับการวินิจฉัยโรคตามแนวทางของแพทย์
ในงบการเงินสิ่งที่หมอย้ำให้ต้องอ่านอันดับแรกคือ "ความเห็นผู้สอบบัญชี" ว่ามีคอมเมนท์พิเศษที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าเกินสามย่อหน้า (ตามมาตรฐานบัญชี) นี่ต้องระวังแล้ว
"ช่วงปีแรกๆ ผมไปซื้อหุ้นรอยเนท (ผู้บริหารแต่งบัญชี) เพราะดูแค่งบบรรทัดสุดท้ายกำไรสวยอย่างเดียวลืมดูความเห็นผู้สอบบัญชีที่บอกว่าไม่สามารถออกความเห็นได้ ปรากฏว่าจากนั้นขาดทุนมาตลอด"
ต่อมาคือการประเมิน "ผลกำไรในอนาคต" นักลงทุนควรให้ความสำคัญมากกว่าไปตามข่าวในห้องค้าอย่างเช่นจะแจกวอร์แรนท์ เพิ่มทุน ควบรวมกิจการ บางทีก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าเราประเมินกำไรในอนาคตได้ยังไงก็ไม่ขาดทุน แต่ขอให้คิดแบบอนุรักษนิยมไว้บ้างอย่าคิดเข้าข้างตัวเองมากไป
ที่สำคัญที่สุดคือ "ราคา" หรือ "Valuation" ว่าถูกหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อหุ้นแพงแม้ว่าจะดีแค่ไหนเพราะเราจะไม่ได้กำไรแถมอาจขาดทุนด้วย ตัวอย่างรถเบ็นซ์ใครก็รู้ว่าดีแต่มีคนมาขายให้เรา 20 ล้านบาท คงไม่มีใครซื้อเพราะสามารถไปซื้อป้ายแดงที่ราคา 3-4 ล้านบาทก็ได้ แต่ถ้าซื้อของถูกมาก่อนเราสามารถขายต่อให้แพงขึ้นได้ถ้าหุ้นนั้นดีจริง...บทสรุปคือเราต้องรู้มูลค่าที่แท้จริงของกิจการให้ได้ (ไม่จำเป็นต้องเหมือนนักวิเคราะห์)
เขาให้ข้อสังเกตว่าหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมต่างกัน หุ้นที่ "หาเช้ากินค่ำ" คือทำธุรกิจไปเรื่อยๆ ควรจะมีค่าพี/อี เรโชที่ 5-7 เท่า แต่หุ้นที่ "เติบโต" ควรมีมากกว่านั้น ส่วนในภาวะ "วิกฤติ" ค่าพี/อี เรโชที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3-4 เท่าถึงจะน่าลงทุน
คุณหมอย้ำว่าหุ้นที่ราคายุติธรรมมักจะไม่ใช่หุ้นตัวใหญ่ที่พวกนักลงทุนสถาบันกับนักวิเคราะห์จับตามอง แบบนั้นจะหาราคาถูกๆ ยาก หุ้นที่ Under Value อาจจะอยู่แบบรอดหูรอดตาเสมอ แต่ต้องระวังหุ้นสภาพคล่องต่ำไว้ด้วย
"พวกนักวิเคราะห์กับสถาบันเขายกหูคุยกับคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.) ได้แต่รายย่อยอย่างเราทำไม่ได้อย่าคิดไปแข่งเลย แต่ขอให้ดูหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสักวันละ 2-3 ล้านบาทขึ้นไปไม่งั้นเข้าออกลำบาก"
สัปดาห์หน้า..หมอบำรุงจะพาเราไปเจาะลึกถึง "เหตุ" และ "ผล" ในการตัดสินใจ "เลือกซื้อหุ้น" ที่ยกระดับให้เขาก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนระดับ "ร้อยล้านบาท" จากหมอบ้านนอกสู่ "เซียนหุ้นวีไอ"
http://www.bangkokbiznews.com
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
บทกวียุคถังที่เจริญรุ่งโรจน์ของจีน
บทกวียุคถังที่เจริญรุ่งโรจน์ของจีน
中国国际广播电台
ราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีน ในยุคนั้น เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง สังคมสงบสุข ศิลปะวัฒนธรรมต่างๆล้วนมีความผลสำเร็จอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เป็นช่วงเวลาที่ผลงานบทกวีโบราณของจีนพัฒนาจนถึงขีดสูงสุด การประพันธ์บทกวีในสมัยราชวงศ์ถังได้กลายเป็นเนื้อหาสำคัญอย่างหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมของสังคม ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางระดับ“เคอจี้”หรือระดับชาติของราชวงศ์ก็ได้เปลี่ยนจากการคัดเลือกด้วยผลงานการเขียนบทวิทยานิพนธ์มาเป็นผลงานการแต่งบทกวีแทน ในหนังสือคัมภีร์โบราณวรรณคดี“ฉวนถังซือ”ที่เหลือตกทอดมาจนถึงปัจจุบันได้บันทึกบทกวีไว้ร่วม 5 หมื่นบทที่มาจากกวีกว่า 2300 คน
วิวัฒนาการการประพันธ์บทกวีในราชวงศ์ถังของจีนแบ่งได้เป็นสี่ช่วงเวลา ได้แก่ “ชูถัง”หรือ“ยุคแรกของราชวงศ์ถัง” “ เสิ้งถัง”หรือ“ยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง” “จงถัง”หรือ“ยุคกลางของราชวงศ์ถัง”และ“หวั่นถัง”หรือ“ช่วงสุดท้ายของราชวงศ์ถัง”
ในสมัย“ชูถัง”(ค.ศ.618-712) หวังปั๋ว หยังโจง หลูเจ้าหลินและลั่วปิน
หวังได้รับสมญานามว่าเป็น“4 กวีเด่น”ในยุคนี้ได้ค่อยๆเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างกฎเกณฑ์สัมผัสเสียงในบทกวี ปูพื้นฐานให้กับรูปแบบของบทกวีที่มีเสียงสัมผัสของจีน ทำให้การประพันธ์บทกวีในสมัยราชวงศ์ถังของจีนได้ปรากฏฉันทลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ด้วยการใช้ความพยายามของพวกเขา เนื้อหาในบทกวีได้เปลี่ยนจากเดิมที่เน้นแต่ความฟุ่มเฟือยของสำนักราชวังมาเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพชีวิตของประชาชนทั่วไปในสังคม ส่วนท่วงทำนองของบทกวีก็เปลี่ยนจากที่เคยเน้นความอ่อนน้อมถ่อมตนมาเป็นรูปแบบที่ชัดเจนรื่นหู กวีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุค“ชูถัง”คือ เฉินจื่ออ๋าง เขาได้ฟื้นฟูประเพณีอันดีงามของบทกวีที่สะท้อนสภาพความเป็นจริงของชีวิต บทกวีของเฉินจื่ออ๋างมีลักษณะเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ได้แผ้วถางทางให้กับการพัฒนาก้าวหน้าของบทกวีในราชวงศ์ถังในเวลาต่อมา
จากค.ศ.712 ถึงค.ศ. 762 เป็นช่วงเวลาที่เรียกกันว่า “เซิ่งถัง”เป็นยุคที่ราชวงศ์ถังมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และก็เป็นช่วงเวลาที่การประพันธ์บทกวีของจีนมีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลงานโดดเด่นที่สุด บทกวีในยุคนี้มีเนื้อหาและรูปแบบหรือสไตล์ที่หลากหลาย กวีบางคนสรรเสริญธรรมชาติ บางคนแสดงความใฝ่ฝันที่จะไปตั้งหลักอยู่ทางชายแดน บางคนสดุดีลัทธิวีรชน และบ้างก็ได้ส่งเสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวังก็มี บรรดากวีจำนวนมากต่างแข่งกันประพันธ์บทกวีอย่างอิสระเสรีท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว้าง ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์“เซิ่งถัง”ที่ส่งผลสั่นสะเทือนอย่างมากต่อชนรุ่นหลัง
ในสมัย“เซิ่งถัง” กวีที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ หลี่ไป๋ ตู้ฝู หวังเหวย เมิ่งฮ่าวหลัน เกาเซ่อและเฉินเซิง เป็นต้น ฉินเซินถนัดแต่งบทกลอนที่สะท้อนสภาพด่านชายแดน บทกวีของเกาเซ่อสะท้อนความทุกข์เข็ญของชาวบ้านได้ค่อนข้างดี ส่วนกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเป็นตัวแทนของวงการกวีในสมัย“เซิ่งถัง”ได้นั้นย่อมควรยกให้หลี่ไป๋ที่ถูกขนานนามว่า“เซียนกวี”กับตู้ฝูที่ถูกขนานนามว่า“ปราชญ์กวี” ผลงานบทกวีของพวกเขาได้ส่งอิทธิพลที่ลึกซึ้งและยาวไกลต่อการประพันธ์บทกวีของชนรุ่นหลังของจีน
ในสมัย“จงถัง”(ค.ศ.762---827) ก็มีกวีดีเด่นหลายคน เช่น ไป๋จอี้อยี้
หยวนเจิ๋นและหลี่เฮ่อ เป็นต้น ไป๋จอี้อยี้ขึ้นชื่อด้วยผลงานโคลงเปรียบเปรยที่เสียดสีการรีดไถประชาชนอย่างเหี้ยมโหดของชนชั้นปกครอง คัดค้านการก่อสงคราม วิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าขุนมูลนายที่ทรงอำนาจ นอกจากนี้ ไป๋
จอี่อยี้ยังพยายามใช้ภาษาที่เรียบง่าย รื่นหู มีชีวิตชีวาและน่าประทับใจ จึงได้รับความนิยมชบชอบจากบรรดาผู้อ่านอันกว้างไพศาล
หลี่เฮ่อเป็นกวีที่มีอายุสั้นเพียง 20 กว่าปี เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และก็ประสบความล้มเหลวในวิถีชีวิตขุนนาง แต่บทกวีของเขาอุดมไปด้วยจิงตนาการ มีความหมายที่แปลกใหม่ มีโครงสร้างที่รวบรัด ใช้ภาษาที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยสีสันแห่งจิงตนิยมและอารมณ์ความรู้สึกที่ไปทางเศร้าสลด
จากค.ศ.827 ถึง 859 เป็นสมัยของ“หวั่นถัง” กวีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ หลี่ซังอิงและตู้มู่ บทกวีของตู้มู่ได้รวมความสดใสกับความเย็นชาเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเอื้อต่อการแสดงความมุ่งมาดปรารถนาทางการเมืองของเขาไว้ในบทกวี ส่วนผลงานบทกวีของหลี่ซังอิงมักจะมีโครงสร้างที่ประณีต ใช้ภาษาที่งดงามแต่แฝงไว้ด้วยสไตลน์ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม สะท้อนให้เห็นถึงความล้มลุกคลุกคลานบนวิถีชีวิตขุนนางของตัวเอง บทกวีของเขามักจะปรากฏให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เศร้าเสียใจ บทกวี“อู๋ถี”ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเขาจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งกันในวงการวิจารณ์บทกวีของจีนว่า เป็นบทกวีที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตรักหรือจะเป็นเนื้อหาที่แฝงความหมายทางการเมืองกันแน่
http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter15/chapter150104.htm
中国国际广播电台
ราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์สำคัญในประวัติศาสตร์จีน ในยุคนั้น เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง สังคมสงบสุข ศิลปะวัฒนธรรมต่างๆล้วนมีความผลสำเร็จอันรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เป็นช่วงเวลาที่ผลงานบทกวีโบราณของจีนพัฒนาจนถึงขีดสูงสุด การประพันธ์บทกวีในสมัยราชวงศ์ถังได้กลายเป็นเนื้อหาสำคัญอย่างหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมของสังคม ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางระดับ“เคอจี้”หรือระดับชาติของราชวงศ์ก็ได้เปลี่ยนจากการคัดเลือกด้วยผลงานการเขียนบทวิทยานิพนธ์มาเป็นผลงานการแต่งบทกวีแทน ในหนังสือคัมภีร์โบราณวรรณคดี“ฉวนถังซือ”ที่เหลือตกทอดมาจนถึงปัจจุบันได้บันทึกบทกวีไว้ร่วม 5 หมื่นบทที่มาจากกวีกว่า 2300 คน
วิวัฒนาการการประพันธ์บทกวีในราชวงศ์ถังของจีนแบ่งได้เป็นสี่ช่วงเวลา ได้แก่ “ชูถัง”หรือ“ยุคแรกของราชวงศ์ถัง” “ เสิ้งถัง”หรือ“ยุคเจริญรุ่งเรืองที่สุดของราชวงศ์ถัง” “จงถัง”หรือ“ยุคกลางของราชวงศ์ถัง”และ“หวั่นถัง”หรือ“ช่วงสุดท้ายของราชวงศ์ถัง”
ในสมัย“ชูถัง”(ค.ศ.618-712) หวังปั๋ว หยังโจง หลูเจ้าหลินและลั่วปิน
หวังได้รับสมญานามว่าเป็น“4 กวีเด่น”ในยุคนี้ได้ค่อยๆเสร็จสิ้นกระบวนการสร้างกฎเกณฑ์สัมผัสเสียงในบทกวี ปูพื้นฐานให้กับรูปแบบของบทกวีที่มีเสียงสัมผัสของจีน ทำให้การประพันธ์บทกวีในสมัยราชวงศ์ถังของจีนได้ปรากฏฉันทลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ด้วยการใช้ความพยายามของพวกเขา เนื้อหาในบทกวีได้เปลี่ยนจากเดิมที่เน้นแต่ความฟุ่มเฟือยของสำนักราชวังมาเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสภาพชีวิตของประชาชนทั่วไปในสังคม ส่วนท่วงทำนองของบทกวีก็เปลี่ยนจากที่เคยเน้นความอ่อนน้อมถ่อมตนมาเป็นรูปแบบที่ชัดเจนรื่นหู กวีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุค“ชูถัง”คือ เฉินจื่ออ๋าง เขาได้ฟื้นฟูประเพณีอันดีงามของบทกวีที่สะท้อนสภาพความเป็นจริงของชีวิต บทกวีของเฉินจื่ออ๋างมีลักษณะเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ได้แผ้วถางทางให้กับการพัฒนาก้าวหน้าของบทกวีในราชวงศ์ถังในเวลาต่อมา
จากค.ศ.712 ถึงค.ศ. 762 เป็นช่วงเวลาที่เรียกกันว่า “เซิ่งถัง”เป็นยุคที่ราชวงศ์ถังมีความเจริญรุ่งเรืองที่สุด และก็เป็นช่วงเวลาที่การประพันธ์บทกวีของจีนมีความเจริญรุ่งเรืองและมีผลงานโดดเด่นที่สุด บทกวีในยุคนี้มีเนื้อหาและรูปแบบหรือสไตล์ที่หลากหลาย กวีบางคนสรรเสริญธรรมชาติ บางคนแสดงความใฝ่ฝันที่จะไปตั้งหลักอยู่ทางชายแดน บางคนสดุดีลัทธิวีรชน และบ้างก็ได้ส่งเสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวังก็มี บรรดากวีจำนวนมากต่างแข่งกันประพันธ์บทกวีอย่างอิสระเสรีท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เปิดกว้าง ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์“เซิ่งถัง”ที่ส่งผลสั่นสะเทือนอย่างมากต่อชนรุ่นหลัง
ในสมัย“เซิ่งถัง” กวีที่มีชื่อเสียงที่สุดได้แก่ หลี่ไป๋ ตู้ฝู หวังเหวย เมิ่งฮ่าวหลัน เกาเซ่อและเฉินเซิง เป็นต้น ฉินเซินถนัดแต่งบทกลอนที่สะท้อนสภาพด่านชายแดน บทกวีของเกาเซ่อสะท้อนความทุกข์เข็ญของชาวบ้านได้ค่อนข้างดี ส่วนกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเป็นตัวแทนของวงการกวีในสมัย“เซิ่งถัง”ได้นั้นย่อมควรยกให้หลี่ไป๋ที่ถูกขนานนามว่า“เซียนกวี”กับตู้ฝูที่ถูกขนานนามว่า“ปราชญ์กวี” ผลงานบทกวีของพวกเขาได้ส่งอิทธิพลที่ลึกซึ้งและยาวไกลต่อการประพันธ์บทกวีของชนรุ่นหลังของจีน
ในสมัย“จงถัง”(ค.ศ.762---827) ก็มีกวีดีเด่นหลายคน เช่น ไป๋จอี้อยี้
หยวนเจิ๋นและหลี่เฮ่อ เป็นต้น ไป๋จอี้อยี้ขึ้นชื่อด้วยผลงานโคลงเปรียบเปรยที่เสียดสีการรีดไถประชาชนอย่างเหี้ยมโหดของชนชั้นปกครอง คัดค้านการก่อสงคราม วิพากษ์วิจารณ์พวกเจ้าขุนมูลนายที่ทรงอำนาจ นอกจากนี้ ไป๋
จอี่อยี้ยังพยายามใช้ภาษาที่เรียบง่าย รื่นหู มีชีวิตชีวาและน่าประทับใจ จึงได้รับความนิยมชบชอบจากบรรดาผู้อ่านอันกว้างไพศาล
หลี่เฮ่อเป็นกวีที่มีอายุสั้นเพียง 20 กว่าปี เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และก็ประสบความล้มเหลวในวิถีชีวิตขุนนาง แต่บทกวีของเขาอุดมไปด้วยจิงตนาการ มีความหมายที่แปลกใหม่ มีโครงสร้างที่รวบรัด ใช้ภาษาที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยสีสันแห่งจิงตนิยมและอารมณ์ความรู้สึกที่ไปทางเศร้าสลด
จากค.ศ.827 ถึง 859 เป็นสมัยของ“หวั่นถัง” กวีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ หลี่ซังอิงและตู้มู่ บทกวีของตู้มู่ได้รวมความสดใสกับความเย็นชาเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเอื้อต่อการแสดงความมุ่งมาดปรารถนาทางการเมืองของเขาไว้ในบทกวี ส่วนผลงานบทกวีของหลี่ซังอิงมักจะมีโครงสร้างที่ประณีต ใช้ภาษาที่งดงามแต่แฝงไว้ด้วยสไตลน์ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม สะท้อนให้เห็นถึงความล้มลุกคลุกคลานบนวิถีชีวิตขุนนางของตัวเอง บทกวีของเขามักจะปรากฏให้เห็นถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เศร้าเสียใจ บทกวี“อู๋ถี”ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเขาจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นประเด็นที่มีความขัดแย้งกันในวงการวิจารณ์บทกวีของจีนว่า เป็นบทกวีที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตรักหรือจะเป็นเนื้อหาที่แฝงความหมายทางการเมืองกันแน่
http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter15/chapter150104.htm
ภูเขาโปสการ์ด กองขยะ (รีไซเคิล) หลังบอลโลก
ฟุตบอลโลก 2010 จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเกมจบคนยังไม่จบ เพราะยังต้องตามลุ้นตามเชียร์ว่าตนจะได้เป็นผู้โชคดีจากการร่วมสนุกชิงรางวัลกับเขาบ้างหรือเปล่า
สารพัดสินค้าเข้ามาร่วมวงเกาะกระแสฟุตบอลโลกจัดชิงโชคกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่ให้คนร่วมส่งทายชิงโชคกันผ่านทาง sms แม้กระทั่งการตามกระแสไปแบบไม่ได้ชิงโชคอะไรก็มีให้เห็นกันเยอะแยะตามสื่อโฆษณาต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังกันหนาหูมากที่สุดจากบรรดาคนรอบตัวก็คือ ลาภลอยผ่านการชิงโชคจากวงการสื่อสิ่งพิมพ์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในฟุตบอลโลกปีนี้เงินจะสะพัดอยู่ในระบบธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์สูงถึง 820 ล้านบาท สุทธิเฉพาะการร่วมสนุกชิงโชคแล้วก็เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 660 ล้านบาท กว่าสามเท่าของยอดการจำหน่ายสิ่งพิมพ์ในช่วงเดียวกัน และจากผลการสำรวจพบว่าคนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครจะร่วมทายผลฟุตบอลโลกปีนี้สูงถึงร้อยละ 63 สูงขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อสี่ปีที่แล้วร้อยละ 3.8 ซึ่งก็เห็นได้ชัดถึงความตื่นตัวกับการชิงโชคร่วมลุ้นรางวัลที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงกว่าร้อยล้านบาท ที่แบ่งออกมาเป็นชิงโชคจากสื่อสิ่งพิมพ์ประมาณ 40 ล้านบาท นอกจากคนกรุงเทพฯ แล้วก็ยังมีคนอีก 75 จังหวัดทั้งจากเมืองใหญ่ๆ และเมืองเล็กๆ ที่ส่งทายผลเช่นกัน วิธีการร่วมลุ้นก็มีหลากหลาย ทั้งตัดชิ้นส่วนไปชิงโชคและการให้ส่งไปรษณียบัตรไปทายกันให้สะใจ
ถึงตอนนี้เมื่อกระบวนการจับรางวัลผู้โชคดีใกล้จะสิ้นสุด กองไปรษณียบัตรที่ทำผิดกติกาตกไป กองไปรษณียบัตรที่ทายผิดตกไป กองไปรษณียบัตรที่ทายว่าสเปนเป็นผู้ชนะฟุตบอลโลกยังอยู่ ในปริมาณที่เรียกว่าท่วมหัวเราๆ ท่านๆ หากว่ามันเยอะถึงขนาดนั้นแล้ว เราจะมีวิธีจัดการกับกระดาษปริมาณมหาศาลได้อย่างไร แต่ก่อนอื่นต้องมาดูก่อนว่าเยอะที่ว่านั้นเยอะขนาดไหน
ชิงโชคด้วยไปรษณียบัตร
การส่งไปรษณียบัตรไปลุ้นโชคเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยฟุตบอลโลกที่สเปนเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2525 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เริ่มๆ ด้วยหลักไม่กี่ล้าน จนถึงตอนนี้พุ่งสูงไปถึงหลักร้อยล้านใบ ด้วยพลังของบอลมือรองที่ไล่เขี่ยตัวเต็งบิ๊กๆ ออกไปได้แบบไม่คาดฝัน ตั้งแต่ฝรั่งเศสกระเด็นตกไปตั้งแต่รอบแรก ฮอลแลนด์เขี่ยบราซิลทิ้งไปในรอบแปดทีมสุดท้าย หรือการเจอกันของอาร์เจนตินาและเยอรมนีแบบคนที่ลุ้นก็ยังต้องรู้สึกรักพี่เสียดายน้อง และที่สำคัญคือการคืนฟอร์มกลับมาได้ของสเปนจนคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด
นอกจากนี้ หลายคนยังบอกว่าพลังของหมึกพอลจากเยอรมนีที่ทำนายทายทักแบบหักปากกาเซียนก็ส่งอิทธิพลให้ต้องซื้อมาเขียนเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ ตามแต่หมึกจะบงการ เรียกว่าหมึกหันหนวดไปทางไหน พี่ไทยเราก็หันตามไปทางนั้น แบบจ้องตาไม่กะพริบ
ต้นไม้กี่ต้น
จากการคำนวณแบบคร่าวๆ พบว่า
ต้นไม้ 1 ต้น น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม สามารถผลิตกระดาษขนาด A4 80 แกรม ได้ 6,000 แผ่น
และกระดาษ A4 คือ 4 เท่าของกระดาษ A6 ซึ่งเป็นขนาดของไปรษณียบัตรมาตรฐาน
เพราะฉะนั้น ต้นไม้ 1 ต้น จึงผลิตกระดาษขนาด A6 80 แกรม ได้ 24,000 แผ่น
แต่ความหนาของไปรษณียบัตรมาตรฐานอยู่ที่ 180 แกรม
เพราะฉะนั้นด้วยการตั้งบัญญัติไตรยางค์จึงได้ว่า
ต้นไม้ 1 ต้น ผลิตกระดาษ A6 180 แกรม ได้ ประมาณ 10,666 แผ่น
และหากนำจำนวนไปรษณียบัตร 200 ล้านใบที่ส่งชิงโชคมาคำนวณ จะได้เป็น
ไปรษณียบัตร 200 ล้านใบ เท่ากับต้นไม้ 18,751.17 ต้น
ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะเอามันไปทำอะไรต่อดีให้ไม่สูญเปล่า
ไปรษณียบัตร ขยะที่มีราคา
จำนวนที่ว่ามาสุดท้ายแล้วหลังการจับรางวัลก็จะกลายเป็นขยะคุณภาพกองโต ที่ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เจ้าของธุรกิจโรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์ หรือที่ใครๆ ต่างขนานนามเขาว่า 'ราชาขยะ' ผู้ทำให้ขยะกลายเป็นทองคำต้องตาลุกวาว โรงงานแห่งนี้รับซื้อเศษขยะเหลือใช้ทุกประเภท โดยเฉพาะเศษกระดาษทั้งหลายที่เขาบอกว่าเป็นขยะอีกประเภทหนึ่งที่รับซื้อในราคาที่ดี ในแต่ละเดือนโรงงานวงษ์พาณิชย์จะรับซื้อกระดาษในปริมาณ 3 หมื่นกว่าตัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร แต่ในการรับซื้อนั้นจะมีการคัดแยกประเภทของกระดาษด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการนำไปอัดเป็นก้อนและตีราคา
“เราจะมีการคัดแยกกระดาษออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ กล่องกระดาษสีน้ำตาล เศษกระดาษผสม กระดาษปอนด์ขาว-ดำ และกระดาษหนังสือพิมพ์ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้แล้วเราก็จะเอาไปเข้าเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่ออัดกระดาษเป็นก้อน โดยจะได้น้ำหนักของกระดาษแต่ละก้อนประมาณ 1,700 กิโลกรัม ที่เราต้องการน้ำหนักหรือขนาดของก้อนขนาดนี้เพราะว่าจะทำให้สะดวกและมีน้ำหนักต่อการขนส่งที่คุ้มค่า หลังจากนั้นก็จะส่งไปยังตลาดเป้าหมาย ตลาดอุตสาหกรรมรีไซเคิล”
สำหรับไปรษณียบัตรที่ประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศต่างส่งเข้ามาเพื่อทายผลและลุ้นรางวัลช่วงฟุตบอลโลก 2010 ที่ผ่านมา ดร.สมไทย บอกว่า โรงงานของเขาก็รับซื้อไปรษณียบัตรเหล่านี้ด้วย เมื่อทางบริษัทที่จัดให้ทายผลจับรางวัลเสร็จสิ้น ทางเครือข่ายก็จะส่งมาขายยังโรงงานแห่งนี้บ้างเช่นกัน
“ไปรษณียบัตรเราจะแยกเป็นกระดาษประเภทที่สอง คือ กระดาษผสม ที่ค่อนข้างมีราคาดี กิโลกรัมละ 6-7 บาท ซึ่งในหนึ่งกิโลกรัมนั้นจะมี 350 ใบ ครั้งก่อนๆ ที่เคยรับซื้อมาประมาณ 2 ล้านกว่าใบ ตีราคาได้ประมาณ 3 ล้านบาท สำหรับคราวนี้เท่าที่สังเกตกองไปรษณียบัตรตามสื่อต่างๆ ประมาณได้ว่ามีจำนวนเยอะทีเดียว ถ้าจะตีราคาก็ประมาณหลายล้านบาท
“เมื่อเรานำไปผ่านกระบวนการต่างๆ หรือรีไซเคิลแล้วไปรษณียบัตรก็จะกลายเป็นกระดาษใหม่ที่มีคุณภาพดีสามารถนำไปใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะนำไปเป็นไปรษณียบัตรใหม่ก็ได้ ทำเป็นกระดาษปอนด์ ทำเป็นกล่องใหม่ เป็นสมุด หนังสือ” ดร.สมไทยกล่าวทิ้งท้าย
รีไซเคิล ทางออกของปัญหาจริงหรือ
เพราะตัวเลขที่เราได้จากการคำนวณดูเยอะมาก เมื่อเราบอก อาจารย์อภิดลน์ เจริญอักษร หรือครูดุจ อาจารย์จากโรงเรียนรุ่งอรุณ ผู้บุกเบิกโครงการของเสียเหลือศูนย์ โครงการที่ช่วยให้ลดปริมาณขยะในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาคิดเช่นเดียวกับเราว่าตัวเลขนี้ไม่ใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย
“จริงๆ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตัวเลขของไปรษณียบัตรจะเยอะมากขนาดนี้ พอได้คำนวณกลับออกมาเป็นจำนวนต้นไม้ก็ไม่ใช่ปริมาณน้อยๆ เลยเหมือนกัน ที่โรงเรียนเราได้พยายามปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า แตพอมาเจออย่างนี้ก็ถึงกับตกใจ”
อาจารย์ประจำโรงเรียนทางเลือกแห่งนี้ยังฝากให้เราคิดกันว่า ถึงแม้ปริมาณกระดาษกองนี้จะสามารถรีไซเคิลได้ก็จริง แต่มันก็ยังต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะได้ออกมาเป็นกระดาษใหม่อีกครั้ง ซึ่งทำให้เสียพลังงานไปมาก เพราะฉะนั้นคนไทยควรจะคิดถึงสิ่งแวดล้อมกันให้มากขึ้น เพราะมันไม่ได้เหลือเยอะอย่างสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เราแล้ว นอกจากนี้ยังอยากจะให้ผู้ปกครองรู้จักสอนการแยกขยะให้แก่เด็กๆ ด้วย
“สมัยนี้คนเราใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่รู้คุณค่า เพราะเราเกิดมาก็เห็นแต่สิ่งที่มันแปรรูปมาแล้ว ไม่ได้คิดไปถึงว่ามันเคยเป็นต้นไม้มาก่อน เคยเป็นปิโตรเลียมมาก่อน คนปัจจุบันรักสิ่งแวดล้อมกันน้อยลง และการรีไซเคิลในปัจจุบันเป็นในเชิงพาณิชย์หมดแล้ว คนไม่ได้รักสิ่งแวดล้อมจากข้างในจริงๆ เหมือนคนสมัยก่อน เราได้พยายามแล้วในระดับโรงเรียนแต่ก็ต้องการความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม และถ้าเราเลือกที่จะรียูสได้ มันก็จะประหยัดพลังงานมากกว่า”
..............................
อย่างไรก็ตาม การชิงโชคเป็นของคู่กันกับคนไทยมาแต่โบราณ ตั้งแต่สมัยชิงโชคด้วยกระดาษห่อกระป๋องนมข้นหวาน พัฒนามาเรื่อยๆ จนใช้ไปรษณียบัตร ซึ่งนอกจากจะสามารถวัดปริมาณกันได้แบบจะจะแล้ว ยังทำให้ไปรษณีย์ไทยกลับมาคึกคัก หลังจากกำไรหดหายไปพร้อมการเข้ามาของเทคโนโลยี แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะระลึกไว้บ้างในใจดวงน้อยๆ ของเรา ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติ มีใช้แล้วก็สูญไป ในกระบวนการผลิตกระดาษไม่ได้ใช้เพียงแต่ต้นไม้อย่างเดียว ลดการใช้ทรัพยากรลงสักหน่อย เพื่อให้ลูกหลานตัวเล็กตัวน้อยของเราได้เห็นท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลใสๆ ต่อไป
หรือไม่ก็ภาวนาให้มีกระบวนการหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าปัจจุบันก็ยังดี
สถิติน่ารู้
ไปรษณียบัตร 200 ล้านใบ ทำอะไรได้บ้าง
ปูพื้นสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานได้ 252 สนาม
ปูเขตสัมพันธวงศ์ได้เต็มพื้นที่ (1.416 ตารางกิโลเมตร)
วนรอบโลกได้ครึ่งรอบ (20,000 กิโลเมตร)
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 19 กรกฎาคม 2553 19:48 น.
สารพัดสินค้าเข้ามาร่วมวงเกาะกระแสฟุตบอลโลกจัดชิงโชคกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือธุรกิจโทรศัพท์มือถือที่ให้คนร่วมส่งทายชิงโชคกันผ่านทาง sms แม้กระทั่งการตามกระแสไปแบบไม่ได้ชิงโชคอะไรก็มีให้เห็นกันเยอะแยะตามสื่อโฆษณาต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังกันหนาหูมากที่สุดจากบรรดาคนรอบตัวก็คือ ลาภลอยผ่านการชิงโชคจากวงการสื่อสิ่งพิมพ์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในฟุตบอลโลกปีนี้เงินจะสะพัดอยู่ในระบบธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์สูงถึง 820 ล้านบาท สุทธิเฉพาะการร่วมสนุกชิงโชคแล้วก็เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 660 ล้านบาท กว่าสามเท่าของยอดการจำหน่ายสิ่งพิมพ์ในช่วงเดียวกัน และจากผลการสำรวจพบว่าคนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครจะร่วมทายผลฟุตบอลโลกปีนี้สูงถึงร้อยละ 63 สูงขึ้นจากการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อสี่ปีที่แล้วร้อยละ 3.8 ซึ่งก็เห็นได้ชัดถึงความตื่นตัวกับการชิงโชคร่วมลุ้นรางวัลที่มีมูลค่ารวมกันสูงถึงกว่าร้อยล้านบาท ที่แบ่งออกมาเป็นชิงโชคจากสื่อสิ่งพิมพ์ประมาณ 40 ล้านบาท นอกจากคนกรุงเทพฯ แล้วก็ยังมีคนอีก 75 จังหวัดทั้งจากเมืองใหญ่ๆ และเมืองเล็กๆ ที่ส่งทายผลเช่นกัน วิธีการร่วมลุ้นก็มีหลากหลาย ทั้งตัดชิ้นส่วนไปชิงโชคและการให้ส่งไปรษณียบัตรไปทายกันให้สะใจ
ถึงตอนนี้เมื่อกระบวนการจับรางวัลผู้โชคดีใกล้จะสิ้นสุด กองไปรษณียบัตรที่ทำผิดกติกาตกไป กองไปรษณียบัตรที่ทายผิดตกไป กองไปรษณียบัตรที่ทายว่าสเปนเป็นผู้ชนะฟุตบอลโลกยังอยู่ ในปริมาณที่เรียกว่าท่วมหัวเราๆ ท่านๆ หากว่ามันเยอะถึงขนาดนั้นแล้ว เราจะมีวิธีจัดการกับกระดาษปริมาณมหาศาลได้อย่างไร แต่ก่อนอื่นต้องมาดูก่อนว่าเยอะที่ว่านั้นเยอะขนาดไหน
ชิงโชคด้วยไปรษณียบัตร
การส่งไปรษณียบัตรไปลุ้นโชคเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยฟุตบอลโลกที่สเปนเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2525 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เริ่มๆ ด้วยหลักไม่กี่ล้าน จนถึงตอนนี้พุ่งสูงไปถึงหลักร้อยล้านใบ ด้วยพลังของบอลมือรองที่ไล่เขี่ยตัวเต็งบิ๊กๆ ออกไปได้แบบไม่คาดฝัน ตั้งแต่ฝรั่งเศสกระเด็นตกไปตั้งแต่รอบแรก ฮอลแลนด์เขี่ยบราซิลทิ้งไปในรอบแปดทีมสุดท้าย หรือการเจอกันของอาร์เจนตินาและเยอรมนีแบบคนที่ลุ้นก็ยังต้องรู้สึกรักพี่เสียดายน้อง และที่สำคัญคือการคืนฟอร์มกลับมาได้ของสเปนจนคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด
นอกจากนี้ หลายคนยังบอกว่าพลังของหมึกพอลจากเยอรมนีที่ทำนายทายทักแบบหักปากกาเซียนก็ส่งอิทธิพลให้ต้องซื้อมาเขียนเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อยๆ ตามแต่หมึกจะบงการ เรียกว่าหมึกหันหนวดไปทางไหน พี่ไทยเราก็หันตามไปทางนั้น แบบจ้องตาไม่กะพริบ
ต้นไม้กี่ต้น
จากการคำนวณแบบคร่าวๆ พบว่า
ต้นไม้ 1 ต้น น้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม สามารถผลิตกระดาษขนาด A4 80 แกรม ได้ 6,000 แผ่น
และกระดาษ A4 คือ 4 เท่าของกระดาษ A6 ซึ่งเป็นขนาดของไปรษณียบัตรมาตรฐาน
เพราะฉะนั้น ต้นไม้ 1 ต้น จึงผลิตกระดาษขนาด A6 80 แกรม ได้ 24,000 แผ่น
แต่ความหนาของไปรษณียบัตรมาตรฐานอยู่ที่ 180 แกรม
เพราะฉะนั้นด้วยการตั้งบัญญัติไตรยางค์จึงได้ว่า
ต้นไม้ 1 ต้น ผลิตกระดาษ A6 180 แกรม ได้ ประมาณ 10,666 แผ่น
และหากนำจำนวนไปรษณียบัตร 200 ล้านใบที่ส่งชิงโชคมาคำนวณ จะได้เป็น
ไปรษณียบัตร 200 ล้านใบ เท่ากับต้นไม้ 18,751.17 ต้น
ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะเอามันไปทำอะไรต่อดีให้ไม่สูญเปล่า
ไปรษณียบัตร ขยะที่มีราคา
จำนวนที่ว่ามาสุดท้ายแล้วหลังการจับรางวัลก็จะกลายเป็นขยะคุณภาพกองโต ที่ ดร.สมไทย วงษ์เจริญ เจ้าของธุรกิจโรงงานคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์ หรือที่ใครๆ ต่างขนานนามเขาว่า 'ราชาขยะ' ผู้ทำให้ขยะกลายเป็นทองคำต้องตาลุกวาว โรงงานแห่งนี้รับซื้อเศษขยะเหลือใช้ทุกประเภท โดยเฉพาะเศษกระดาษทั้งหลายที่เขาบอกว่าเป็นขยะอีกประเภทหนึ่งที่รับซื้อในราคาที่ดี ในแต่ละเดือนโรงงานวงษ์พาณิชย์จะรับซื้อกระดาษในปริมาณ 3 หมื่นกว่าตัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอสมควร แต่ในการรับซื้อนั้นจะมีการคัดแยกประเภทของกระดาษด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการนำไปอัดเป็นก้อนและตีราคา
“เราจะมีการคัดแยกกระดาษออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ กล่องกระดาษสีน้ำตาล เศษกระดาษผสม กระดาษปอนด์ขาว-ดำ และกระดาษหนังสือพิมพ์ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนี้แล้วเราก็จะเอาไปเข้าเครื่องจักรขนาดใหญ่เพื่ออัดกระดาษเป็นก้อน โดยจะได้น้ำหนักของกระดาษแต่ละก้อนประมาณ 1,700 กิโลกรัม ที่เราต้องการน้ำหนักหรือขนาดของก้อนขนาดนี้เพราะว่าจะทำให้สะดวกและมีน้ำหนักต่อการขนส่งที่คุ้มค่า หลังจากนั้นก็จะส่งไปยังตลาดเป้าหมาย ตลาดอุตสาหกรรมรีไซเคิล”
สำหรับไปรษณียบัตรที่ประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศต่างส่งเข้ามาเพื่อทายผลและลุ้นรางวัลช่วงฟุตบอลโลก 2010 ที่ผ่านมา ดร.สมไทย บอกว่า โรงงานของเขาก็รับซื้อไปรษณียบัตรเหล่านี้ด้วย เมื่อทางบริษัทที่จัดให้ทายผลจับรางวัลเสร็จสิ้น ทางเครือข่ายก็จะส่งมาขายยังโรงงานแห่งนี้บ้างเช่นกัน
“ไปรษณียบัตรเราจะแยกเป็นกระดาษประเภทที่สอง คือ กระดาษผสม ที่ค่อนข้างมีราคาดี กิโลกรัมละ 6-7 บาท ซึ่งในหนึ่งกิโลกรัมนั้นจะมี 350 ใบ ครั้งก่อนๆ ที่เคยรับซื้อมาประมาณ 2 ล้านกว่าใบ ตีราคาได้ประมาณ 3 ล้านบาท สำหรับคราวนี้เท่าที่สังเกตกองไปรษณียบัตรตามสื่อต่างๆ ประมาณได้ว่ามีจำนวนเยอะทีเดียว ถ้าจะตีราคาก็ประมาณหลายล้านบาท
“เมื่อเรานำไปผ่านกระบวนการต่างๆ หรือรีไซเคิลแล้วไปรษณียบัตรก็จะกลายเป็นกระดาษใหม่ที่มีคุณภาพดีสามารถนำไปใช้ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะนำไปเป็นไปรษณียบัตรใหม่ก็ได้ ทำเป็นกระดาษปอนด์ ทำเป็นกล่องใหม่ เป็นสมุด หนังสือ” ดร.สมไทยกล่าวทิ้งท้าย
รีไซเคิล ทางออกของปัญหาจริงหรือ
เพราะตัวเลขที่เราได้จากการคำนวณดูเยอะมาก เมื่อเราบอก อาจารย์อภิดลน์ เจริญอักษร หรือครูดุจ อาจารย์จากโรงเรียนรุ่งอรุณ ผู้บุกเบิกโครงการของเสียเหลือศูนย์ โครงการที่ช่วยให้ลดปริมาณขยะในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาคิดเช่นเดียวกับเราว่าตัวเลขนี้ไม่ใช่จำนวนที่น้อยๆ เลย
“จริงๆ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตัวเลขของไปรษณียบัตรจะเยอะมากขนาดนี้ พอได้คำนวณกลับออกมาเป็นจำนวนต้นไม้ก็ไม่ใช่ปริมาณน้อยๆ เลยเหมือนกัน ที่โรงเรียนเราได้พยายามปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า แตพอมาเจออย่างนี้ก็ถึงกับตกใจ”
อาจารย์ประจำโรงเรียนทางเลือกแห่งนี้ยังฝากให้เราคิดกันว่า ถึงแม้ปริมาณกระดาษกองนี้จะสามารถรีไซเคิลได้ก็จริง แต่มันก็ยังต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะได้ออกมาเป็นกระดาษใหม่อีกครั้ง ซึ่งทำให้เสียพลังงานไปมาก เพราะฉะนั้นคนไทยควรจะคิดถึงสิ่งแวดล้อมกันให้มากขึ้น เพราะมันไม่ได้เหลือเยอะอย่างสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เราแล้ว นอกจากนี้ยังอยากจะให้ผู้ปกครองรู้จักสอนการแยกขยะให้แก่เด็กๆ ด้วย
“สมัยนี้คนเราใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่รู้คุณค่า เพราะเราเกิดมาก็เห็นแต่สิ่งที่มันแปรรูปมาแล้ว ไม่ได้คิดไปถึงว่ามันเคยเป็นต้นไม้มาก่อน เคยเป็นปิโตรเลียมมาก่อน คนปัจจุบันรักสิ่งแวดล้อมกันน้อยลง และการรีไซเคิลในปัจจุบันเป็นในเชิงพาณิชย์หมดแล้ว คนไม่ได้รักสิ่งแวดล้อมจากข้างในจริงๆ เหมือนคนสมัยก่อน เราได้พยายามแล้วในระดับโรงเรียนแต่ก็ต้องการความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม และถ้าเราเลือกที่จะรียูสได้ มันก็จะประหยัดพลังงานมากกว่า”
..............................
อย่างไรก็ตาม การชิงโชคเป็นของคู่กันกับคนไทยมาแต่โบราณ ตั้งแต่สมัยชิงโชคด้วยกระดาษห่อกระป๋องนมข้นหวาน พัฒนามาเรื่อยๆ จนใช้ไปรษณียบัตร ซึ่งนอกจากจะสามารถวัดปริมาณกันได้แบบจะจะแล้ว ยังทำให้ไปรษณีย์ไทยกลับมาคึกคัก หลังจากกำไรหดหายไปพร้อมการเข้ามาของเทคโนโลยี แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะระลึกไว้บ้างในใจดวงน้อยๆ ของเรา ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติ มีใช้แล้วก็สูญไป ในกระบวนการผลิตกระดาษไม่ได้ใช้เพียงแต่ต้นไม้อย่างเดียว ลดการใช้ทรัพยากรลงสักหน่อย เพื่อให้ลูกหลานตัวเล็กตัวน้อยของเราได้เห็นท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลใสๆ ต่อไป
หรือไม่ก็ภาวนาให้มีกระบวนการหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าปัจจุบันก็ยังดี
สถิติน่ารู้
ไปรษณียบัตร 200 ล้านใบ ทำอะไรได้บ้าง
ปูพื้นสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานได้ 252 สนาม
ปูเขตสัมพันธวงศ์ได้เต็มพื้นที่ (1.416 ตารางกิโลเมตร)
วนรอบโลกได้ครึ่งรอบ (20,000 กิโลเมตร)
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 19 กรกฎาคม 2553 19:48 น.
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553
จับตา 5 อุตสาหกรรมคึกรับบอลโลก
Positioning Magazine พฤษภาคม 2553
Added on: 10/6/2553
แม้ฟุตบอลโลกปีนี้จัดไกลถึงแอฟริกาใต้ ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปเยือน และไม่มีทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน แถมสถานการณ์การเมืองก็ไม่เป็นใจนัก
แต่ฟุตบอลโลก 2010เป็นอีเวนต์ระดับยักษ์ที่หลายแบรนด์ในประเทศไทยไม่ยอมพลาด ส่วนระดับความเข้มข้นในการทำตลาดอาจต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าที่แต่ละแบรนด์มองหา ต้องจับตา 5 อุตสาหกรรม ที่ฟุตบอลโลก 2010 เป็นยุทธศาสตร์สร้างจุดเปลี่ยนให้กับยกระดับแบรนด์ ตลอดจนสินค้า ด้วยสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดให้สอดคล้องไปกับการแข่งขันชนิดที่พลาดไม่ได้
ศึกน้ำอัดลม
กิจกรรมที่ต้องมารวมกลุ่มสังสรรค์ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม น้ำอัดลม มักเป็นองค์ประกอบหนึ่งในปาร์ตี้ที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการรวมกลุ่มเชียร์การแข่งขันฟุตบอลโลก ที่น่าจะก่อให้เกิดการบริโภคน้ำอัดลมในอัตราที่สูงขึ้น
ความเข้มข้นที่แข่งกันระดับ Global ระหว่างโคคา-โคลา ที่เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก 2010 กับเป๊ปซี่ ที่เริ่มทำการตลาดในช่วงฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1998 และใช้กลยุทธ์ Ambush Marketing ขับเคลื่อนมาตลอด ส่งผลให้การแข่งขันในประเทศไทย ที่เครื่องดื่มน้ำอัดลมมีตลาดใหญ่เป็นอันดับสองในน้ำดื่มบรรจุขวดเข้มข้นไม่แพ้กัน
เมื่อบวกกับการเข้ามาของบิ๊กโคล่า น้ำอัดลมจากประเทศเปรู ที่พร้อมทุ่มเต็มที่กับการทำตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ด้วยการนำไลเซ่นส์ทีมชาติอังกฤษมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ เพื่อย่นระยะเวลาการสร้างแบรนด์ให้สั้นลง
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงสำคัญต่อแต่ละแบรนด์ในตลาดน้ำอัดลมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล เป็นพฤติกรรมพื้นฐานของผู้บริโภคชาวไทย จึงไม่มีเหตุผลที่ช้างและสิงห์จะไม่ทำกิจกรรมการตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ฤดูการขายพิเศษที่ 4 ปีมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น โดย ชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด คาดว่า ยอดขายเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก ซึ่งระยะเวลานานประมาณ 1 เดือน มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตสูงถึง 10%
ทั้งสองแบรนด์ เน้นไปที่กิจกรรม On-Ground ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดลานเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก เพื่อตอบสนองพฤติกรรมข้างต้น ที่มักดื่มเบียร์ไปพร้อมๆ กับการรับชมฟุตบอลได้เป็นอย่างดี โดยสิงห์เข้าร่วมกับอาร์เอส จัดกิจกรรมจำนวน 5 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนช้าง ที่เป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 อย่างเป็นทางการในระดับ Gold ได้จัดพื้นที่กิจกรรมของตัวเอง โดยคาดว่าจะจัดขึ้น 10 แห่งทั่วประเทศ
การเงินกับบอลก็ไปด้วยกันได้
การเงินกับกีฬา อาจเป็นสองสิ่งที่ไม่น่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างกันได้ แต่ฟุตบอลโลกได้ประสานทั้งสองธุรกิจเข้าด้วยกัน ด้วยความหวังของธุรกิจการเงินที่จะพยายามสร้างให้แบรนด์สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น จึงต้องเข้าถึงไลฟ์สไตล์ความชอบของผู้คน
เมื่อสายตาของคนทั้งโลกต่างจับจ้องที่ฟุตบอลโลก วีซ่าก็ต้องอยู่ตรงนั้น คือสโลแกนที่วีซ่าประกาศในเว็บไซต์
การเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างวีซ่าและฟีฟ่า เพิ่งเริ่มต้นมาในปี 2007
บอลโลก เป็นความหวังอันเรืองของ “วีซ่า” ที่จะใช้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หลังจากปล่อยให้มาสเตอร์การ์ด คู่แข่งตัวกลั่นครอบครองสิทธิการเป็นสปอนเซอร์ในกลุ่ม “บัตรชำระเงิน” ของฟีฟ่ามายาวนาน
กลยุทธ์สำคัญของวีซ่าในฟุตบอลโลก 2010 คือเกมออนไลน์ ที่วีซ่าจะผสานความสนุกสนานของเกมฟุตบอล และความรู้ทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กนักเรียน อายุ 15 ปีขึ้นไป และผู้ถือบัตรวีซ่า ในรูปแบบของ “เกมออนไลน์” ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
เป้าหมายใหญ่ที่จะต้องทำให้ได้คือ การเผยแพร่ความรู้เรื่องการเงินส่วนบุคคล หรือ Financial Education ให้กับประชากร 20 ล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2556 นี้
“ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนทั่วโลก และฟีฟ่าก็เป็นพันธมิตรด้านฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุด การเป็นสปอนเซอร์ในครั้งนี้จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของวีซ่ามีความเชี่ยวชาญและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมี Brand Loyalty มากขึ้นด้วย เราเรียกความร่วมมือในครั้งนี้ว่า Good Match” สมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิก บอก
นอกจากนี้ วีซ่า ได้เชื่อมโยงแบรนด์ชำระเงินของโลกและฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมระดับโลก รวมทั้งยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่พันธมิตรและลูกค้าสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งในประเทศไทย ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี ได้เป็นพันธมิตรอีกทอดหนึ่งของวีซ่า ในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลโลกร่วมกับวีซ่าอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าการประเดิมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของวีซ่าจะไม่สดใสนัก เพราะไหนจะเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในไทย แต่อย่างน้อยวีซ่าก็ได้ลองผิดลองถูก โดยเฉพาะภาพรวมระดับโลกแล้ววีซ่ายังคงเชื่อมั่นว่างานนี้ต้องบูม เพราะจากผลสำรวจ Tourism Outlook : South Africa ของวีซ่า พบว่า เมื่อไตรมาสแรกของปี 2552 มียอดใช้จ่ายกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านผู้ถือบัตรวีซ่าที่เดินทางไปยังแอฟริกาใต้ และเมื่อการแข่งขันเริ่มต้น แอฟริกาใต้จะเป็นศูนย์กลางของคนทั้งโลก ทั้งการเดินทางจากท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก รวมถึงทีมงานของทีมฟุตบอลชาติต่างๆ และผู้สื่อข่าว ย่อมหมายถึงการจับจ่ายผ่านบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง นั่นคือเป้าหมายด้านรายได้ที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง
ปีทองของ Men’s Grooming
สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับผู้ชาย ได้ใช้โอกาสของฟุตบอลโลกที่ตรึงผู้ชายไว้หน้าโทรทัศน์ได้มากกว่าโปรแกรมใดๆ มาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปีนี้
นีเวีย ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ฟอร์เมน บีโอเร และยูนิลีเวอร์ ที่มีแบรนด์เคลียร์เมน วาสลีน และแอ๊กซ์ ต่างพยายามเชื่อมแบรนด์สินค้าผู้ชายที่มีอยู่ในพอร์ตของทั้งสองบริษัท ให้เข้ากับมหกรรมการแข่งชันฟุตบอลโลก ที่ตกอยู่ในความสนใจของผู้ชายค่อนประเทศ โดยหวังว่าจะช่วยสร้าง Brand Awareness ในกลุ่มเป้าหมายผู้ชายแท้ให้แข็งแรงกว่าเดิม
ยูนิลีเวอร์ เชื่อมั่นว่าฟุตบอลโลก 2010 เป็นตัวช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 แบรนด์ในกลุ่มของ Men's Grooming สามารถแจ้งเกิดได้ โดยมี "เคลียร์ เมน" นำทัพ เนื่องจากรีแบรนด์จากคลีนิค เคลียร์มาหมาดๆ ตามด้วยแอ๊กซ์ และวาสลีน เมน ภายใต้งบที่วางไว้กว่า 100 ล้านบาท ที่จะถูกใช้ในไตรมาสแรกของปี 2553
แม้จะไม่ได้เป็นสปอนเซอร์กับฟีฟ่า แต่ยูนิลีเวอร์ก็มีนักเตะระดับโลกอย่าง "คริสเตียนโน โรนัลโด้" ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเคลียร์ เมน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 มาเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาร่วมสนุกในแคมเปญบอลโลก ที่จะเน้นของรางวัล Exclusive ที่มาพร้อมกับลายเซ็นนักเตะยังคงเป็นกิมมิกที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และการแข่งขัน Clear Men Free Style Challenge ที่ให้เดาะลูกบอลตามลีลาของแต่ละคนและอัพโหลดคลิปลงบน Facebook
ยูนิลีเวอร์ ยอมทุ่มเป็นสปอนเซอร์ Platinum Package ของเคลียร์ เมน ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 ที่มีอาร์เอส ได้รับสิทธิ์มา ซึ่งยูนิลีเวอร์มองว่าตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 1 เดือนของฟุตบอลโลก 2010 จะช่วยExposure แบรนด์เคลียร์ เมน ออกไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และทำให้การ Transfer Brand จากคลีนิค เคลียร์ มาสู่เคลียร์ เมน เป็นไปอย่างสมบูรณ์มากขึ้น
จากนี้ไปเราคงได้เห็นบทบาทของการเป็น Partnership และอิงแอบกับ Sport Marketing โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลมากขึ้น เพราะนี่คือเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผลักดันยอดขายของกลุ่ม Men's Grooming ให้เติบโตขึ้นได้
แจ้งเกิดทีวี 3 มิติ
สินค้าอีกประเภทที่อิงแอบกับกระแสบอลโลกอย่างไม่ตัดขัด คือ โทรทัศน์ ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดในการรับชมฟุตบอลให้ได้อรรถรส และยิ่งฟุตบอลโลกครั้งนี้จะออกอากาศด้วยระบบ High-Definition ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดในแต่ละแมตช์การแข่งขันมากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว
ผู้ผลิตหลายแบรนด์ จึงคาดการณ์ว่าปีนี้ บอลโลกในปีนี้จะส่งผลให้ยอดขายทีวี ทั้งแอลซีดี และแอลซีดีทีวี พุ่งทะลุถึง 1 ล้านจอได้สบายๆ
เอาแค่เฉพาะใน 1 – 2 เดือนก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก ในแง่ของมูลค่า ตลาดจอแอลซีดีน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และ 30 – 40% ในแง่จำนวนหน่วย โดยเฉพาะจอขนาด 40 นิ้วขึ้นไปที่หลายแบรนด์พยายามสื่อสารว่า ดูบอลได้มันส์ที่สุด
เริ่มจากค่ายซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ทำตัวเป็น Fist Mover ของตลาด เปิดตัวทีวี ตั้งแต่จอขนาด 22-56 นิ้ว และที่เป็นไฮไลต์ คือ เทคโนโลยี 3 มิติ มาแบบครบเครื่อง ทั้งแอลซีดีทีวี 3 มิติ แอลอีดีทีวี 3 มิติ พลาสม่าทีวี ระบบ 3 มิติ พ่วงด้วยเครื่องเล่นบลูเรย์ดิกส์ 3 มิติ และแว่น 3 มิติ ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ งานนี้ ซัมซุง เชื่อว่าการนำเสนอแบบ Total Solution จะสร้างเทรนด์ใหม่ให้กับตลาดทีวีขึ้นได้
อาณัติ จ่างตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด บอกว่า แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดก็ตาม แต่ผู้บริหารซัมซุงมองว่าตลาดกลับไม่กระทบมากนัก เพราะคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้อัตราการดูทีวีเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 8-10 ชั่วโมง ยิ่งมีการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2010 ด้วยแล้ว จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดทีวีโดยรวมยังคงเติบโตไปได้อย่างดีในปีนี้
การแจ้งเกิดทีวี 3 มิติ ในช่วงจังหวะที่ฤดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้นไม่นาน จะสร้างดีมานด์ให้เกิดขึ้นได้
“ด้วยภาพที่คมชัดและเสมือจริง รายการที่เหมาะกับการรับชม ก็ต้องเป็นกีฬามาเป็นอันดับหนึ่ง การ์ตูนแอนิเมชั่น และภาพยนตร์ แน่นอนว่าซัมซุงเองได้เตรียมกลยุทธ์การตลาดที่จะ Linkage กับแคมเปญฟุตบอลโลกที่จะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้ไว้แล้ว”
แม้ว่าซัมซุงจะไม่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกโดยตรง แต่ขอเกาะไปกับกระแสบอลโลก นอกจากจะเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเชลซี ที่ผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกีฬาฟุตบอลโลกได้แล้ว ยังได้ร่วมกับค่ายน้ำอัดลม เป๊ปซี่ ทำแคมเปญชิงโชคไปดูฟุตบอลโลก รวมถึงการจัดระบบเงินผ่อน Consumer Finance ในการซื้อทีวีรุ่นใหม่ให้ยาวขึ้น และการร่วมมือกับผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ ของซัมซุง ที่สามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมฟุตบอลโลกได้ เช่น กล้อง โทรศัพท์มือถือดูทีวี หรือแม้แต่เครื่องปรับอากาศก็จะมีการออกแคมเปญการตลาดร่วมกับผลิตภัณฑ์ทีวี
ซัมซุงตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียงปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 35% โดยแบ่งเป็นแอลอีดีทีวี ที่จะโต 20 เท่า หรือขายได้ในปีนี้ 2แสนเครื่อง ส่วนแอลซีดีทีวีจะมียอดขาย 410,000 เครื่อง หรือโต 40% และตั้งเป้าจะครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 50% ในแง่จำนวน แต่หากในแง่ของมูลค่าตลาดแล้วคาดว่าจะมีถึง 70%
แน่นอนว่า ไม่เฉพาะซัมซุงเท่านั้น เร็วๆ นี้ค่ายโซนี่ พานาโซนิค และอื่นๆ คงเตรียมทยอยเปิดตัวโทรทัศน์ 3 มิติตามมา โดยเฉพาะโซนี่ ในฐานะสปอนเซอร์หลักของฟีฟ่า ได้ประกาศที่จะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในปีนี้ ด้วยกล้อง 3 มิติ โดยจะเลือกเฉพาะบางแมตช์ และแพร่ภาพไปยังเมือง7 เมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไป เช่น ในสหรัฐฯ ESPN ได้สิทธิ์ไป ส่วนประเทศอื่นๆ ต้องรอดูเหตุการณ์
ส่วนในไทย แม้จะไม่อยู่ใน 7 เมือง และยังไม่ได้วางตลาดทีวี 3 มิติ รวมถึงเครื่องบลูเรย์ ก็ตาม แต่โซนี่ร่วมมือกับพันธมิตร โคคา-โคลา, อาดิดาส สายการบินเอมิเรตส์ และฮุนได แคมเปญใหญ่รับฟุตบอลโลก 2010 โดย เดินสายจัดอีเวนต์ โหมโรงไปตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ชิงโชค ตั๋วเครื่องบิน และรางวัลต่างๆ เชื่อว่าอีกไม่นานกระแสฟุตบอลโลก 2010 จะกระตุ้นให้ตลาดทีวีปีนี้คงดุเดือด และคึกคักไม่แพ้เกมฟุตบอลในสนาม
Added on: 10/6/2553
แม้ฟุตบอลโลกปีนี้จัดไกลถึงแอฟริกาใต้ ดินแดนที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปเยือน และไม่มีทีมชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน แถมสถานการณ์การเมืองก็ไม่เป็นใจนัก
แต่ฟุตบอลโลก 2010เป็นอีเวนต์ระดับยักษ์ที่หลายแบรนด์ในประเทศไทยไม่ยอมพลาด ส่วนระดับความเข้มข้นในการทำตลาดอาจต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าที่แต่ละแบรนด์มองหา ต้องจับตา 5 อุตสาหกรรม ที่ฟุตบอลโลก 2010 เป็นยุทธศาสตร์สร้างจุดเปลี่ยนให้กับยกระดับแบรนด์ ตลอดจนสินค้า ด้วยสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดให้สอดคล้องไปกับการแข่งขันชนิดที่พลาดไม่ได้
ศึกน้ำอัดลม
กิจกรรมที่ต้องมารวมกลุ่มสังสรรค์ ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม น้ำอัดลม มักเป็นองค์ประกอบหนึ่งในปาร์ตี้ที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับการรวมกลุ่มเชียร์การแข่งขันฟุตบอลโลก ที่น่าจะก่อให้เกิดการบริโภคน้ำอัดลมในอัตราที่สูงขึ้น
ความเข้มข้นที่แข่งกันระดับ Global ระหว่างโคคา-โคลา ที่เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก 2010 กับเป๊ปซี่ ที่เริ่มทำการตลาดในช่วงฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1998 และใช้กลยุทธ์ Ambush Marketing ขับเคลื่อนมาตลอด ส่งผลให้การแข่งขันในประเทศไทย ที่เครื่องดื่มน้ำอัดลมมีตลาดใหญ่เป็นอันดับสองในน้ำดื่มบรรจุขวดเข้มข้นไม่แพ้กัน
เมื่อบวกกับการเข้ามาของบิ๊กโคล่า น้ำอัดลมจากประเทศเปรู ที่พร้อมทุ่มเต็มที่กับการทำตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ด้วยการนำไลเซ่นส์ทีมชาติอังกฤษมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญและกิจกรรมต่างๆ เพื่อย่นระยะเวลาการสร้างแบรนด์ให้สั้นลง
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ จึงสำคัญต่อแต่ละแบรนด์ในตลาดน้ำอัดลมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล
ดื่มเบียร์ เชียร์บอล เป็นพฤติกรรมพื้นฐานของผู้บริโภคชาวไทย จึงไม่มีเหตุผลที่ช้างและสิงห์จะไม่ทำกิจกรรมการตลาดในช่วงฟุตบอลโลก ฤดูการขายพิเศษที่ 4 ปีมีเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น โดย ชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด คาดว่า ยอดขายเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก ซึ่งระยะเวลานานประมาณ 1 เดือน มีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตสูงถึง 10%
ทั้งสองแบรนด์ เน้นไปที่กิจกรรม On-Ground ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจัดลานเบียร์ในช่วงฟุตบอลโลก เพื่อตอบสนองพฤติกรรมข้างต้น ที่มักดื่มเบียร์ไปพร้อมๆ กับการรับชมฟุตบอลได้เป็นอย่างดี โดยสิงห์เข้าร่วมกับอาร์เอส จัดกิจกรรมจำนวน 5 แห่งทั่วประเทศ
ส่วนช้าง ที่เป็นผู้สนับสนุนการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 อย่างเป็นทางการในระดับ Gold ได้จัดพื้นที่กิจกรรมของตัวเอง โดยคาดว่าจะจัดขึ้น 10 แห่งทั่วประเทศ
การเงินกับบอลก็ไปด้วยกันได้
การเงินกับกีฬา อาจเป็นสองสิ่งที่ไม่น่าจะมีความเชื่อมโยงระหว่างกันได้ แต่ฟุตบอลโลกได้ประสานทั้งสองธุรกิจเข้าด้วยกัน ด้วยความหวังของธุรกิจการเงินที่จะพยายามสร้างให้แบรนด์สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น จึงต้องเข้าถึงไลฟ์สไตล์ความชอบของผู้คน
เมื่อสายตาของคนทั้งโลกต่างจับจ้องที่ฟุตบอลโลก วีซ่าก็ต้องอยู่ตรงนั้น คือสโลแกนที่วีซ่าประกาศในเว็บไซต์
การเป็นพันธมิตรร่วมกันระหว่างวีซ่าและฟีฟ่า เพิ่งเริ่มต้นมาในปี 2007
บอลโลก เป็นความหวังอันเรืองของ “วีซ่า” ที่จะใช้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก หลังจากปล่อยให้มาสเตอร์การ์ด คู่แข่งตัวกลั่นครอบครองสิทธิการเป็นสปอนเซอร์ในกลุ่ม “บัตรชำระเงิน” ของฟีฟ่ามายาวนาน
กลยุทธ์สำคัญของวีซ่าในฟุตบอลโลก 2010 คือเกมออนไลน์ ที่วีซ่าจะผสานความสนุกสนานของเกมฟุตบอล และความรู้ทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กนักเรียน อายุ 15 ปีขึ้นไป และผู้ถือบัตรวีซ่า ในรูปแบบของ “เกมออนไลน์” ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
เป้าหมายใหญ่ที่จะต้องทำให้ได้คือ การเผยแพร่ความรู้เรื่องการเงินส่วนบุคคล หรือ Financial Education ให้กับประชากร 20 ล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิกภายในปี 2556 นี้
“ฟุตบอลเป็นกีฬายอดนิยมของคนทั่วโลก และฟีฟ่าก็เป็นพันธมิตรด้านฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุด การเป็นสปอนเซอร์ในครั้งนี้จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของวีซ่ามีความเชี่ยวชาญและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมี Brand Loyalty มากขึ้นด้วย เราเรียกความร่วมมือในครั้งนี้ว่า Good Match” สมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิก บอก
นอกจากนี้ วีซ่า ได้เชื่อมโยงแบรนด์ชำระเงินของโลกและฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมระดับโลก รวมทั้งยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่พันธมิตรและลูกค้าสถาบันการเงินต่างๆ ซึ่งในประเทศไทย ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบี ได้เป็นพันธมิตรอีกทอดหนึ่งของวีซ่า ในการเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลโลกร่วมกับวีซ่าอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าการประเดิมเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของวีซ่าจะไม่สดใสนัก เพราะไหนจะเจอเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในไทย แต่อย่างน้อยวีซ่าก็ได้ลองผิดลองถูก โดยเฉพาะภาพรวมระดับโลกแล้ววีซ่ายังคงเชื่อมั่นว่างานนี้ต้องบูม เพราะจากผลสำรวจ Tourism Outlook : South Africa ของวีซ่า พบว่า เมื่อไตรมาสแรกของปี 2552 มียอดใช้จ่ายกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านผู้ถือบัตรวีซ่าที่เดินทางไปยังแอฟริกาใต้ และเมื่อการแข่งขันเริ่มต้น แอฟริกาใต้จะเป็นศูนย์กลางของคนทั้งโลก ทั้งการเดินทางจากท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก รวมถึงทีมงานของทีมฟุตบอลชาติต่างๆ และผู้สื่อข่าว ย่อมหมายถึงการจับจ่ายผ่านบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง นั่นคือเป้าหมายด้านรายได้ที่เป็นรูปธรรมนั่นเอง
ปีทองของ Men’s Grooming
สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับผู้ชาย ได้ใช้โอกาสของฟุตบอลโลกที่ตรึงผู้ชายไว้หน้าโทรทัศน์ได้มากกว่าโปรแกรมใดๆ มาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปีนี้
นีเวีย ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ฟอร์เมน บีโอเร และยูนิลีเวอร์ ที่มีแบรนด์เคลียร์เมน วาสลีน และแอ๊กซ์ ต่างพยายามเชื่อมแบรนด์สินค้าผู้ชายที่มีอยู่ในพอร์ตของทั้งสองบริษัท ให้เข้ากับมหกรรมการแข่งชันฟุตบอลโลก ที่ตกอยู่ในความสนใจของผู้ชายค่อนประเทศ โดยหวังว่าจะช่วยสร้าง Brand Awareness ในกลุ่มเป้าหมายผู้ชายแท้ให้แข็งแรงกว่าเดิม
ยูนิลีเวอร์ เชื่อมั่นว่าฟุตบอลโลก 2010 เป็นตัวช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 แบรนด์ในกลุ่มของ Men's Grooming สามารถแจ้งเกิดได้ โดยมี "เคลียร์ เมน" นำทัพ เนื่องจากรีแบรนด์จากคลีนิค เคลียร์มาหมาดๆ ตามด้วยแอ๊กซ์ และวาสลีน เมน ภายใต้งบที่วางไว้กว่า 100 ล้านบาท ที่จะถูกใช้ในไตรมาสแรกของปี 2553
แม้จะไม่ได้เป็นสปอนเซอร์กับฟีฟ่า แต่ยูนิลีเวอร์ก็มีนักเตะระดับโลกอย่าง "คริสเตียนโน โรนัลโด้" ซึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเคลียร์ เมน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 มาเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาร่วมสนุกในแคมเปญบอลโลก ที่จะเน้นของรางวัล Exclusive ที่มาพร้อมกับลายเซ็นนักเตะยังคงเป็นกิมมิกที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย และการแข่งขัน Clear Men Free Style Challenge ที่ให้เดาะลูกบอลตามลีลาของแต่ละคนและอัพโหลดคลิปลงบน Facebook
ยูนิลีเวอร์ ยอมทุ่มเป็นสปอนเซอร์ Platinum Package ของเคลียร์ เมน ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2010 ที่มีอาร์เอส ได้รับสิทธิ์มา ซึ่งยูนิลีเวอร์มองว่าตลอดระยะเวลาการแข่งขัน 1 เดือนของฟุตบอลโลก 2010 จะช่วยExposure แบรนด์เคลียร์ เมน ออกไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ และทำให้การ Transfer Brand จากคลีนิค เคลียร์ มาสู่เคลียร์ เมน เป็นไปอย่างสมบูรณ์มากขึ้น
จากนี้ไปเราคงได้เห็นบทบาทของการเป็น Partnership และอิงแอบกับ Sport Marketing โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลมากขึ้น เพราะนี่คือเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผลักดันยอดขายของกลุ่ม Men's Grooming ให้เติบโตขึ้นได้
แจ้งเกิดทีวี 3 มิติ
สินค้าอีกประเภทที่อิงแอบกับกระแสบอลโลกอย่างไม่ตัดขัด คือ โทรทัศน์ ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดในการรับชมฟุตบอลให้ได้อรรถรส และยิ่งฟุตบอลโลกครั้งนี้จะออกอากาศด้วยระบบ High-Definition ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดในแต่ละแมตช์การแข่งขันมากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว
ผู้ผลิตหลายแบรนด์ จึงคาดการณ์ว่าปีนี้ บอลโลกในปีนี้จะส่งผลให้ยอดขายทีวี ทั้งแอลซีดี และแอลซีดีทีวี พุ่งทะลุถึง 1 ล้านจอได้สบายๆ
เอาแค่เฉพาะใน 1 – 2 เดือนก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก ในแง่ของมูลค่า ตลาดจอแอลซีดีน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% และ 30 – 40% ในแง่จำนวนหน่วย โดยเฉพาะจอขนาด 40 นิ้วขึ้นไปที่หลายแบรนด์พยายามสื่อสารว่า ดูบอลได้มันส์ที่สุด
เริ่มจากค่ายซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ทำตัวเป็น Fist Mover ของตลาด เปิดตัวทีวี ตั้งแต่จอขนาด 22-56 นิ้ว และที่เป็นไฮไลต์ คือ เทคโนโลยี 3 มิติ มาแบบครบเครื่อง ทั้งแอลซีดีทีวี 3 มิติ แอลอีดีทีวี 3 มิติ พลาสม่าทีวี ระบบ 3 มิติ พ่วงด้วยเครื่องเล่นบลูเรย์ดิกส์ 3 มิติ และแว่น 3 มิติ ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ งานนี้ ซัมซุง เชื่อว่าการนำเสนอแบบ Total Solution จะสร้างเทรนด์ใหม่ให้กับตลาดทีวีขึ้นได้
อาณัติ จ่างตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด บอกว่า แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดก็ตาม แต่ผู้บริหารซัมซุงมองว่าตลาดกลับไม่กระทบมากนัก เพราะคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้อัตราการดูทีวีเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 8-10 ชั่วโมง ยิ่งมีการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2010 ด้วยแล้ว จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดทีวีโดยรวมยังคงเติบโตไปได้อย่างดีในปีนี้
การแจ้งเกิดทีวี 3 มิติ ในช่วงจังหวะที่ฤดูการถ่ายทอดฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้นไม่นาน จะสร้างดีมานด์ให้เกิดขึ้นได้
“ด้วยภาพที่คมชัดและเสมือจริง รายการที่เหมาะกับการรับชม ก็ต้องเป็นกีฬามาเป็นอันดับหนึ่ง การ์ตูนแอนิเมชั่น และภาพยนตร์ แน่นอนว่าซัมซุงเองได้เตรียมกลยุทธ์การตลาดที่จะ Linkage กับแคมเปญฟุตบอลโลกที่จะเริ่มขึ้นในเร็ววันนี้ไว้แล้ว”
แม้ว่าซัมซุงจะไม่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกโดยตรง แต่ขอเกาะไปกับกระแสบอลโลก นอกจากจะเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเชลซี ที่ผู้บริหารเชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงกีฬาฟุตบอลโลกได้แล้ว ยังได้ร่วมกับค่ายน้ำอัดลม เป๊ปซี่ ทำแคมเปญชิงโชคไปดูฟุตบอลโลก รวมถึงการจัดระบบเงินผ่อน Consumer Finance ในการซื้อทีวีรุ่นใหม่ให้ยาวขึ้น และการร่วมมือกับผลิตภัณฑ์ในหมวดอื่นๆ ของซัมซุง ที่สามารถเชื่อมโยงกับกิจกรรมฟุตบอลโลกได้ เช่น กล้อง โทรศัพท์มือถือดูทีวี หรือแม้แต่เครื่องปรับอากาศก็จะมีการออกแคมเปญการตลาดร่วมกับผลิตภัณฑ์ทีวี
ซัมซุงตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียงปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 35% โดยแบ่งเป็นแอลอีดีทีวี ที่จะโต 20 เท่า หรือขายได้ในปีนี้ 2แสนเครื่อง ส่วนแอลซีดีทีวีจะมียอดขาย 410,000 เครื่อง หรือโต 40% และตั้งเป้าจะครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 50% ในแง่จำนวน แต่หากในแง่ของมูลค่าตลาดแล้วคาดว่าจะมีถึง 70%
แน่นอนว่า ไม่เฉพาะซัมซุงเท่านั้น เร็วๆ นี้ค่ายโซนี่ พานาโซนิค และอื่นๆ คงเตรียมทยอยเปิดตัวโทรทัศน์ 3 มิติตามมา โดยเฉพาะโซนี่ ในฐานะสปอนเซอร์หลักของฟีฟ่า ได้ประกาศที่จะถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกในปีนี้ ด้วยกล้อง 3 มิติ โดยจะเลือกเฉพาะบางแมตช์ และแพร่ภาพไปยังเมือง7 เมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดไป เช่น ในสหรัฐฯ ESPN ได้สิทธิ์ไป ส่วนประเทศอื่นๆ ต้องรอดูเหตุการณ์
ส่วนในไทย แม้จะไม่อยู่ใน 7 เมือง และยังไม่ได้วางตลาดทีวี 3 มิติ รวมถึงเครื่องบลูเรย์ ก็ตาม แต่โซนี่ร่วมมือกับพันธมิตร โคคา-โคลา, อาดิดาส สายการบินเอมิเรตส์ และฮุนได แคมเปญใหญ่รับฟุตบอลโลก 2010 โดย เดินสายจัดอีเวนต์ โหมโรงไปตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ชิงโชค ตั๋วเครื่องบิน และรางวัลต่างๆ เชื่อว่าอีกไม่นานกระแสฟุตบอลโลก 2010 จะกระตุ้นให้ตลาดทีวีปีนี้คงดุเดือด และคึกคักไม่แพ้เกมฟุตบอลในสนาม
'นพปฏล เจสัน จิรสันต์' ซื้อหุ้นSECCตามทาง'ปีเตอร์ ลินช์'
วันที่ 8 มิถุนายน 2553 01:00
http://www.bangkokbiznews.com/
เปิดตัว CEO หนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ 'เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์' เขาเลือกฝากชีวิตกับหุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนเต็มร้อยของตัวเอง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ชาญ เลิศประเสริฐภากร ได้ขายหุ้นเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ทั้งหมด 14.63%ให้แก่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ บุรุษนิรนาม ทำให้เขาถือครองหุ้น SECC อันดับหนึ่ง 137,667,000 ล้านหุ้น สัดส่วน 22.28% ที่ราคา 0.05 บาท คิดเป็นเงินลงทุน 6,883,350 บาท
แม้มูลค่าการลงทุนจะไม่มากแต่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ชายชื่อแปลกกลับน่าสนใจ ทั้งชื่อและหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็น "ฝรั่งลูกครึ่ง" และเหตุผลที่เข้ามาซื้อกิจการ "เน่าๆ" หุ้นถูกสั่งพักการซื้อขายไม่มีกำหนด และเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์...ถ้าไม่บ้าหมอนี่ก็คงเมา "เอาเงินมาทิ้ง"
แม้ว่าอนาคตของหุ้น SECC จะยังดูมืดมน แต่เจสันกลับใช้หุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนของตัวเอง
"หุ้น SECC จะเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม" เขาเชื่อ และถ้า สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ไม่โกงบริษัทจนทำให้ บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส กิจการ "พันล้าน" ย่อยยับมีหนี้สินรุงรัง มีหรือที่เจสันจะหอบเงินไม่ถึงสิบล้านบาทไปเป็นหุ้นใหญ่ (เจ้าของ) กิจการในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ได้ แม้เขาจะถือแค่ "เศษกระดาษ" แต่นี่คือบททดสอบแนวคิดการลงทุนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
หากเสิร์ชในกูเกิลชื่อ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ไม่ใช่ "โนเนม" เสียทีเดียว หนุ่มหน้าฝรั่งพูดไทยชัดรายนี้ปรากฏข่าวอยู่เนื่องๆ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีดีเพลงแนวอินดี้รายใหญ่ในวงการดนตรีเมืองไทย และเป็นซีอีโอรักสนุกที่เคยลงคอลัมน์ CEO Way ในกรุงเทพธุรกิจ BizWeek มาแล้ว
ตามประวัติที่ถูกระบุในกูเกิล เจสัน คือผู้รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เขาจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก St.Louis University ควบปริญญาโท Business Economics จาก Bentley University สหรัฐอเมริกา เคยทำงานที่ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อหลายปีก่อน
"การเข้ามาถือหุ้น SECC ครั้งนี้ ผมไม่ได้เป็นนอมินีของใครแน่นอน" เจสัน ยืนยันกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ที่ออฟฟิศย่านถนนพระรามเก้าเมื่อไม่นานนี้
การเข้าซื้อหุ้น SECC เจสันยืนยันไม่รู้จักผู้บริหารกับผู้ถือหุ้นชุดเดิมเป็นการส่วนตัวเลยสักคน คนในบริษัทนั้นจะรู้จักก็แค่เซลส์ขายรถยนต์เท่านั้นเอง ทำไม! ถึงกล้าซื้อหุ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้จักแบ็คกราวนด์บริษัทที่ดีพอ เขาบอกว่าถ้าตัดเรื่อง "ฉาว" ออกไปบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร เมื่อหลายปีก่อนเคยพาเพื่อนไปซื้อรถยนต์กับบริษัทนี้รู้สึกประทับใจในการให้บริการของเขา และเห็นคนเข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ ประกอบกับรู้มาว่าตลาดรถยนต์ "เกรย์มาร์เก็ต" (รถหรูนำเข้า) มีกำไรสูง นอกจากนี้มั่นใจว่าตลาดรถยนต์ในประเทศค่อนข้างใหญ่เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนไทยไปแล้ว
สรุปก็คือพอดีมีเงินเหลือและเป็นจังหวะคล้องจองกับราคาหุ้นตอนนั้นราคาก็ไม่สูง (0.05 บาท) ทีแรกคิดว่าจะซื้อไม่เยอะแต่ทำไปทำมากลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ส่วนใช้เงินไปเท่าไรผมไม่ขอบอกแล้วกัน (6,883,350 บาท)
นพปฏลมองการซื้อหุ้น SECC จำนวน 137.66 ล้านหุ้นครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว และไม่คิดที่จะเป็นบอร์ดบริหารแม้ทางฝ่ายนั้นจะเชิญ เพราะทุกวันนี้ก็มีงานประจำทำและไม่ชำนาญเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ แต่ก็แต่งตั้งทีมงานเข้าไปช่วยดูแล แต่เหตุผลข้อสำคัญก็คือหุ้นราคาแบกะดินตัวนี้วันหนึ่งมันต้อง "เทิร์นอะราวด์"
"บริษัทตอนนี้ยังเป็น Penny Stock อยู่ ผมไม่ได้เร่งรัดทีมผู้บริหารชุดเดิมให้รีบฟื้นธุรกิจเร็วๆ เพราะรู้ว่าไม่ง่ายคงใช้เวลา 2 ปี ที่จะกลับมา และคาดว่าต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไปถึงจะเทิร์นอะราวด์ได้"
สิ่งที่เน้นย้ำกับบอร์ดชุดปัจจุบันให้พยายามรักษามาตรฐานงานบริการให้ดีต่อเนื่องเพราะมองว่าเป็นจุดขายของบริษัทนี้ เรื่องเร่งด่วนต้องจัดการเรื่องงบการเงินตามที่ ก.ล.ต. แจ้งเตือนมา และรีบกลับมาทำธุรกรรมซื้อขายรถยนต์ตามปกติให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ทำธุรกิจแค่รับซ่อมรถให้ลูกค้าเดิม
"นี่เป็นการลงทุนหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งที่ถือนานที่สุดของผม เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วบริษัทนี้จะกลับมาได้แน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจดนตรีแต่หาญกล้ามาซื้อหุ้นบริษัทขายรถยนต์มั่นใจ
นพปฏล เล่าประสบการณ์การลงทุนของตัวเองว่าระหว่างเรียนปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ที่บอสตัน ต้องลงวิชาด้านการลงทุนทำให้รู้จักหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มลงทุนครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2540 ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐช่วงนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ตลาดหุ้นแนสแด็ก) กำลังบูมมาก อย่างพวก Microsoft, Yahoo ก็เริ่มเข้าไปลงทุนด้วยเงินหลัก "พันเหรียญ" ได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย ตอนนั้นซื้อหุ้นอะไรก็ขึ้นหมดได้เงินมาง่ายๆ
หลังเรียนจบเข้าไปทำงานที่ J.P.Morgan Chase และกลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ฝ่ายจัดการกองทุนดูแลด้านระบบ งาน 2 ที่นี้ช่วยหล่อหลอมแนวคิดการลงทุนให้ "คม" ยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าชีวิตเคยพลัดหลงเข้าไปลงทุนแบบ "เก็งกำไรรายวัน" กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากนั้นไม่นานฟองสบู่ดอทคอมก็แตก
ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นคือการพัฒนาความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จากเดิมจะเล่น "เดย์เทรด" (ไม่เอาหุ้นกลับบ้าน) ก็เริ่มรู้ว่าไม่ใช่ทางที่เหมาะกับตัวเอง สุดท้ายเหมือนการ "เล่นพนัน" ไปวันๆ จากที่ไม่เคยถือหุ้นตัวไหนนานๆ ก็เริ่มอ่านหนังสือการลงทุนของกูรูหลายคน จนค้นพบสไตล์ส่วนตัวในปัจจุบันคือเดินตามแนวทางของเซียนหุ้นบันลือโลก "ปีเตอร์ ลินช์"
เซียนดนตรีรายนี้ เผยว่า วิธีการลงทุนทุกวันนี้จะยึดหลักของปีเตอร์ ลินช์ คือตีค่าธุรกิจด้วยวิธีการเดินสำรวจกิจการ เหมือนกับที่ปีเตอร์ ลินช์ เดินดูร้านวอล-มาร์ทก่อนซื้อหุ้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติยิ่งกว่าแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์อีก
ยกตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อนเคยเดินสำรวจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ช่วงเริ่มขายอาหารแช่แข็ง และซีพีเอฟเริ่มขายอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น พอเห็นคนต่อแถวซื้อความคิดก็แว็บ!ขึ้นว่า หุ้น CPALL กับ CPF ต้องดีแน่ วันนี้ก็ดีจริงๆ นอกจากนี้ยังชอบเดินโฮมโปรเพราะสร้างบ้านหลังใหม่ เห็นคนเดินเยอะก็รู้ว่าหุ้น HMPRO ต้องกำไรดี อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนหุ้น SECC ก็ใช้หลักคิดแบบเดียวกันคือเดินสำรวจโชว์รูมเห็นว่าลูกค้าประทับใจมาใช้บริการ ธุรกิจก็น่าจะเดินไปได้ เพียงแต่มีปัญหาผู้บริหารฉ้อโกงบริษัทถึงได้เป็นแบบนี้
"บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ผมก็ดูนะแล้วก็มีออกไปคุยกับผู้บริหารด้วยบางทีคุยกับพนักงานเราก็รู้แล้วว่าดีหรือไม่ดี แต่จะให้ดีต้องดูของจริงกับตาตัวเอง"
เจสัน บอกว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในสถาบันการเงิน ทำให้รู้ว่าควรจะเลือกลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อ ทุกวันนี้จะซื้อ RMF และ LTF เพื่อประหยัดภาษีเต็มจำนวนทุกปี ส่วนการลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจะเล่น "ตามจังหวะ" จะลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงๆ และจะไม่ทุ่มซื้อก้อนเดียวหมดหน้าตัก เพราะคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงไม่เหมาะที่จะซื้อหุ้นครั้งเดียว
ความประทับใจที่นพปฏลพูดได้เต็มปากเต็มคำแม้พอร์ตลงทุนของเขาจะไม่ใหญ่ และไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะเกทับใครได้ แต่เจ้าตัวก็ภูมิใจกับผลตอบแทนที่สามารถ "เอาชนะ" ผลตอบแทนของกองทุนรวม "ทุกปี"
"ผมจะใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นช่วงที่หุ้นตกแรงๆ ทุกครั้ง ไม่ซื้อหนักในครั้งเดียว ช่วงนี้ผมกำลังมองว่าถ้าหุ้นลงไป 700 จุด ก็จะซื้ออีก" นี่คือวิธีการลงทุนแบบสวนกระแสนักลงทุนส่วนใหญ่ และรู้จักคำว่ารอคอยโอกาส
นอกจากทรัพย์สินส่วนหนึ่งจะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้นแล้ว ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ นพปฏล ยังเลือกที่จะแบ่งเงินมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่า เขาเล่าว่า ตอนที่เรียนจบมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ก็เริ่มมีความคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าเราเก็บรายได้จากค่าเช่าสัก 18 ปี ก็เหมือนกับเราได้ห้องนั้นมาฟรีๆ พอหาเงินมาได้ก็นำไปซื้อมาปล่อยเช่าเพิ่มอีก ทำอย่างนี้เหมือนกับการเล่น "เกมเศรษฐี" มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีมีแต่ราคาเพิ่มขึ้น แถมยังได้ค่าเช่าทุกเดือน
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีบ้างส่วนใหญ่จะเน้นหุ้นบลูชิพเป็นหลักอย่างกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด และก็ BANPU ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 300 บาท ที่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ (พลังงาน) เพราะดูง่ายธุรกิจแข็งแกร่งอยู่แล้ว ถ้าเงินฝรั่งเข้ามาหุ้นก็ขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ยังชอบหุ้นธนาคารอย่าง SCB และ KBANK เพราะมีค่าเบต้าสูงราคาหุ้นจะสวิงตัวแรง ตอนนี้กำลังชอบหุ้น CPF คาดว่ากำไรสุทธิปี 2553 จะเติบโตดี
“บางทีผมก็เล่นหุ้นตัวเล็กตัวน้อยบ้างเพื่อเก็งกำไรก็เจ็บตัวมาแต่ก็เป็นการเตือนตัวเราไม่ให้เข้าไปยุ่งกับมันอีก”
ถามถึงอนาคตในการลงทุนครั้งต่อไป เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสซื้อหุ้นในราคา "ถูก" อีกก็น่าสนใจ แต่คงใช้เงินไม่เยอะอีกแล้วเพราะกำลังลงทุนครั้งสำคัญของชีวิตเพื่ออนาคตของลูกโดยการสร้างบ้านหลังใหม่
ปัจจุบัน นพปฏล เป็นผู้ถือหุ้น 20% ในบริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2548 โดยกลุ่มคนที่มีพื้นฐานด้านธุรกิจและดนตรี ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ให้บริการด้านการตลาด จัดจำหน่าย กระจายสินค้า (CD,VCD,DVD) บริหารดิจิทัลคอนเทนท์ครบวงจร จัด Music Event จัดคอนเสิร์ต และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ www.you2play.com เขามีแผนจะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันได้ขยายงานเข้าไปทำเคเบิลทีวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีโดยตรงเพื่อเสริมรายได้ทางด้านคอนเทนท์ เขาเล่าว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นผู้บุกเบิกโมเดลธุรกิจด้านดนตรีรูปแบบใหม่เป็นรายแรก ปัจจุบันถือว่าเติบโตและประสบความสำเร็จพอสมควร และหวังว่าการลงทุนในหุ้น SECC จะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
"ผมชอบที่จะเป็นผู้บุกเบิกสร้างธุรกิจขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นที่แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง หรือ SECC ทั้งสองบริษัทคือการลงทุนระยะยาวของผม"
นพปฏล เจสัน จิรสันต์ เส้นทางสายธุรกิจดนตรีของเขากำลังโลดแล่น แต่ธุรกิจใหม่ เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ ที่เขาลงทุนจะแก้ปัญหา "หนี้" และส่วนทุน "ติดลบ" อย่างไร จะเสกใบหุ้น (เศษกระดาษ) ให้เป็น "เงินก้อนโต" และจะลงทุนหุ้น 10 เด้งเหมือนที่ ปีเตอร์ ลินช์ เคยทำสำเร็จหรือไม่
...วันนี้กองเชียร์ข้างสนามยังสงสัยว่าถ้าไม่บ้า...พี่ท่านก็คงเมา
Tags : นพปฏล เจสัน จิรสันต์ • เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส • SECC
http://www.bangkokbiznews.com/
เปิดตัว CEO หนุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ 'เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์' เขาเลือกฝากชีวิตกับหุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนเต็มร้อยของตัวเอง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ชาญ เลิศประเสริฐภากร ได้ขายหุ้นเอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ทั้งหมด 14.63%ให้แก่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ บุรุษนิรนาม ทำให้เขาถือครองหุ้น SECC อันดับหนึ่ง 137,667,000 ล้านหุ้น สัดส่วน 22.28% ที่ราคา 0.05 บาท คิดเป็นเงินลงทุน 6,883,350 บาท
แม้มูลค่าการลงทุนจะไม่มากแต่ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ชายชื่อแปลกกลับน่าสนใจ ทั้งชื่อและหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็น "ฝรั่งลูกครึ่ง" และเหตุผลที่เข้ามาซื้อกิจการ "เน่าๆ" หุ้นถูกสั่งพักการซื้อขายไม่มีกำหนด และเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์...ถ้าไม่บ้าหมอนี่ก็คงเมา "เอาเงินมาทิ้ง"
แม้ว่าอนาคตของหุ้น SECC จะยังดูมืดมน แต่เจสันกลับใช้หุ้นตัวนี้เพื่อพิสูจน์แนวคิดการเป็นนักลงทุนของตัวเอง
"หุ้น SECC จะเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของผม" เขาเชื่อ และถ้า สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ไม่โกงบริษัทจนทำให้ บมจ.เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส กิจการ "พันล้าน" ย่อยยับมีหนี้สินรุงรัง มีหรือที่เจสันจะหอบเงินไม่ถึงสิบล้านบาทไปเป็นหุ้นใหญ่ (เจ้าของ) กิจการในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ได้ แม้เขาจะถือแค่ "เศษกระดาษ" แต่นี่คือบททดสอบแนวคิดการลงทุนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
หากเสิร์ชในกูเกิลชื่อ นพปฏล เจสัน จิรสันต์ ไม่ใช่ "โนเนม" เสียทีเดียว หนุ่มหน้าฝรั่งพูดไทยชัดรายนี้ปรากฏข่าวอยู่เนื่องๆ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้จัดจำหน่ายซีดีเพลงแนวอินดี้รายใหญ่ในวงการดนตรีเมืองไทย และเป็นซีอีโอรักสนุกที่เคยลงคอลัมน์ CEO Way ในกรุงเทพธุรกิจ BizWeek มาแล้ว
ตามประวัติที่ถูกระบุในกูเกิล เจสัน คือผู้รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ เขาจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก St.Louis University ควบปริญญาโท Business Economics จาก Bentley University สหรัฐอเมริกา เคยทำงานที่ฝ่ายธุรกิจหลักทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อหลายปีก่อน
"การเข้ามาถือหุ้น SECC ครั้งนี้ ผมไม่ได้เป็นนอมินีของใครแน่นอน" เจสัน ยืนยันกับ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ที่ออฟฟิศย่านถนนพระรามเก้าเมื่อไม่นานนี้
การเข้าซื้อหุ้น SECC เจสันยืนยันไม่รู้จักผู้บริหารกับผู้ถือหุ้นชุดเดิมเป็นการส่วนตัวเลยสักคน คนในบริษัทนั้นจะรู้จักก็แค่เซลส์ขายรถยนต์เท่านั้นเอง ทำไม! ถึงกล้าซื้อหุ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้จักแบ็คกราวนด์บริษัทที่ดีพอ เขาบอกว่าถ้าตัดเรื่อง "ฉาว" ออกไปบริษัทนี้มีการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร เมื่อหลายปีก่อนเคยพาเพื่อนไปซื้อรถยนต์กับบริษัทนี้รู้สึกประทับใจในการให้บริการของเขา และเห็นคนเข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะ ประกอบกับรู้มาว่าตลาดรถยนต์ "เกรย์มาร์เก็ต" (รถหรูนำเข้า) มีกำไรสูง นอกจากนี้มั่นใจว่าตลาดรถยนต์ในประเทศค่อนข้างใหญ่เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนไทยไปแล้ว
สรุปก็คือพอดีมีเงินเหลือและเป็นจังหวะคล้องจองกับราคาหุ้นตอนนั้นราคาก็ไม่สูง (0.05 บาท) ทีแรกคิดว่าจะซื้อไม่เยอะแต่ทำไปทำมากลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่ง ส่วนใช้เงินไปเท่าไรผมไม่ขอบอกแล้วกัน (6,883,350 บาท)
นพปฏลมองการซื้อหุ้น SECC จำนวน 137.66 ล้านหุ้นครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว และไม่คิดที่จะเป็นบอร์ดบริหารแม้ทางฝ่ายนั้นจะเชิญ เพราะทุกวันนี้ก็มีงานประจำทำและไม่ชำนาญเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ แต่ก็แต่งตั้งทีมงานเข้าไปช่วยดูแล แต่เหตุผลข้อสำคัญก็คือหุ้นราคาแบกะดินตัวนี้วันหนึ่งมันต้อง "เทิร์นอะราวด์"
"บริษัทตอนนี้ยังเป็น Penny Stock อยู่ ผมไม่ได้เร่งรัดทีมผู้บริหารชุดเดิมให้รีบฟื้นธุรกิจเร็วๆ เพราะรู้ว่าไม่ง่ายคงใช้เวลา 2 ปี ที่จะกลับมา และคาดว่าต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไปถึงจะเทิร์นอะราวด์ได้"
สิ่งที่เน้นย้ำกับบอร์ดชุดปัจจุบันให้พยายามรักษามาตรฐานงานบริการให้ดีต่อเนื่องเพราะมองว่าเป็นจุดขายของบริษัทนี้ เรื่องเร่งด่วนต้องจัดการเรื่องงบการเงินตามที่ ก.ล.ต. แจ้งเตือนมา และรีบกลับมาทำธุรกรรมซื้อขายรถยนต์ตามปกติให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ทำธุรกิจแค่รับซ่อมรถให้ลูกค้าเดิม
"นี่เป็นการลงทุนหุ้นครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกและน่าจะเป็นครั้งที่ถือนานที่สุดของผม เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วบริษัทนี้จะกลับมาได้แน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจดนตรีแต่หาญกล้ามาซื้อหุ้นบริษัทขายรถยนต์มั่นใจ
นพปฏล เล่าประสบการณ์การลงทุนของตัวเองว่าระหว่างเรียนปริญญาโทด้านไฟแนนซ์ที่บอสตัน ต้องลงวิชาด้านการลงทุนทำให้รู้จักหุ้นตั้งแต่ตอนนั้น และเริ่มลงทุนครั้งแรกตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ช่วงปี 2540 ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐช่วงนั้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ตลาดหุ้นแนสแด็ก) กำลังบูมมาก อย่างพวก Microsoft, Yahoo ก็เริ่มเข้าไปลงทุนด้วยเงินหลัก "พันเหรียญ" ได้กำไรมาบ้างเล็กน้อย ตอนนั้นซื้อหุ้นอะไรก็ขึ้นหมดได้เงินมาง่ายๆ
หลังเรียนจบเข้าไปทำงานที่ J.P.Morgan Chase และกลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ฝ่ายจัดการกองทุนดูแลด้านระบบ งาน 2 ที่นี้ช่วยหล่อหลอมแนวคิดการลงทุนให้ "คม" ยิ่งขึ้น ต้องยอมรับว่าชีวิตเคยพลัดหลงเข้าไปลงทุนแบบ "เก็งกำไรรายวัน" กับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากนั้นไม่นานฟองสบู่ดอทคอมก็แตก
ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นคือการพัฒนาความคิดของตัวเองไปเรื่อยๆ จากเดิมจะเล่น "เดย์เทรด" (ไม่เอาหุ้นกลับบ้าน) ก็เริ่มรู้ว่าไม่ใช่ทางที่เหมาะกับตัวเอง สุดท้ายเหมือนการ "เล่นพนัน" ไปวันๆ จากที่ไม่เคยถือหุ้นตัวไหนนานๆ ก็เริ่มอ่านหนังสือการลงทุนของกูรูหลายคน จนค้นพบสไตล์ส่วนตัวในปัจจุบันคือเดินตามแนวทางของเซียนหุ้นบันลือโลก "ปีเตอร์ ลินช์"
เซียนดนตรีรายนี้ เผยว่า วิธีการลงทุนทุกวันนี้จะยึดหลักของปีเตอร์ ลินช์ คือตีค่าธุรกิจด้วยวิธีการเดินสำรวจกิจการ เหมือนกับที่ปีเตอร์ ลินช์ เดินดูร้านวอล-มาร์ทก่อนซื้อหุ้น ส่วนตัวคิดว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติยิ่งกว่าแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์อีก
ยกตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อนเคยเดินสำรวจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ช่วงเริ่มขายอาหารแช่แข็ง และซีพีเอฟเริ่มขายอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น พอเห็นคนต่อแถวซื้อความคิดก็แว็บ!ขึ้นว่า หุ้น CPALL กับ CPF ต้องดีแน่ วันนี้ก็ดีจริงๆ นอกจากนี้ยังชอบเดินโฮมโปรเพราะสร้างบ้านหลังใหม่ เห็นคนเดินเยอะก็รู้ว่าหุ้น HMPRO ต้องกำไรดี อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนหุ้น SECC ก็ใช้หลักคิดแบบเดียวกันคือเดินสำรวจโชว์รูมเห็นว่าลูกค้าประทับใจมาใช้บริการ ธุรกิจก็น่าจะเดินไปได้ เพียงแต่มีปัญหาผู้บริหารฉ้อโกงบริษัทถึงได้เป็นแบบนี้
"บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ผมก็ดูนะแล้วก็มีออกไปคุยกับผู้บริหารด้วยบางทีคุยกับพนักงานเราก็รู้แล้วว่าดีหรือไม่ดี แต่จะให้ดีต้องดูของจริงกับตาตัวเอง"
เจสัน บอกว่าประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในสถาบันการเงิน ทำให้รู้ว่าควรจะเลือกลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อ ทุกวันนี้จะซื้อ RMF และ LTF เพื่อประหยัดภาษีเต็มจำนวนทุกปี ส่วนการลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจะเล่น "ตามจังหวะ" จะลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรงๆ และจะไม่ทุ่มซื้อก้อนเดียวหมดหน้าตัก เพราะคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงไม่เหมาะที่จะซื้อหุ้นครั้งเดียว
ความประทับใจที่นพปฏลพูดได้เต็มปากเต็มคำแม้พอร์ตลงทุนของเขาจะไม่ใหญ่ และไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะเกทับใครได้ แต่เจ้าตัวก็ภูมิใจกับผลตอบแทนที่สามารถ "เอาชนะ" ผลตอบแทนของกองทุนรวม "ทุกปี"
"ผมจะใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นช่วงที่หุ้นตกแรงๆ ทุกครั้ง ไม่ซื้อหนักในครั้งเดียว ช่วงนี้ผมกำลังมองว่าถ้าหุ้นลงไป 700 จุด ก็จะซื้ออีก" นี่คือวิธีการลงทุนแบบสวนกระแสนักลงทุนส่วนใหญ่ และรู้จักคำว่ารอคอยโอกาส
นอกจากทรัพย์สินส่วนหนึ่งจะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้นแล้ว ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ นพปฏล ยังเลือกที่จะแบ่งเงินมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมให้เช่า เขาเล่าว่า ตอนที่เรียนจบมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ก็เริ่มมีความคิดตั้งแต่ตอนนั้นว่า ถ้าเราเก็บรายได้จากค่าเช่าสัก 18 ปี ก็เหมือนกับเราได้ห้องนั้นมาฟรีๆ พอหาเงินมาได้ก็นำไปซื้อมาปล่อยเช่าเพิ่มอีก ทำอย่างนี้เหมือนกับการเล่น "เกมเศรษฐี" มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่ดีมีแต่ราคาเพิ่มขึ้น แถมยังได้ค่าเช่าทุกเดือน
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีบ้างส่วนใหญ่จะเน้นหุ้นบลูชิพเป็นหลักอย่างกลุ่ม ปตท.ทั้งหมด และก็ BANPU ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ราคา 300 บาท ที่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ (พลังงาน) เพราะดูง่ายธุรกิจแข็งแกร่งอยู่แล้ว ถ้าเงินฝรั่งเข้ามาหุ้นก็ขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ยังชอบหุ้นธนาคารอย่าง SCB และ KBANK เพราะมีค่าเบต้าสูงราคาหุ้นจะสวิงตัวแรง ตอนนี้กำลังชอบหุ้น CPF คาดว่ากำไรสุทธิปี 2553 จะเติบโตดี
“บางทีผมก็เล่นหุ้นตัวเล็กตัวน้อยบ้างเพื่อเก็งกำไรก็เจ็บตัวมาแต่ก็เป็นการเตือนตัวเราไม่ให้เข้าไปยุ่งกับมันอีก”
ถามถึงอนาคตในการลงทุนครั้งต่อไป เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสซื้อหุ้นในราคา "ถูก" อีกก็น่าสนใจ แต่คงใช้เงินไม่เยอะอีกแล้วเพราะกำลังลงทุนครั้งสำคัญของชีวิตเพื่ออนาคตของลูกโดยการสร้างบ้านหลังใหม่
ปัจจุบัน นพปฏล เป็นผู้ถือหุ้น 20% ในบริษัท แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน 2548 โดยกลุ่มคนที่มีพื้นฐานด้านธุรกิจและดนตรี ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ให้บริการด้านการตลาด จัดจำหน่าย กระจายสินค้า (CD,VCD,DVD) บริหารดิจิทัลคอนเทนท์ครบวงจร จัด Music Event จัดคอนเสิร์ต และเป็นเจ้าของเว็บไซต์ www.you2play.com เขามีแผนจะนำบริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันได้ขยายงานเข้าไปทำเคเบิลทีวีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีโดยตรงเพื่อเสริมรายได้ทางด้านคอนเทนท์ เขาเล่าว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วเป็นผู้บุกเบิกโมเดลธุรกิจด้านดนตรีรูปแบบใหม่เป็นรายแรก ปัจจุบันถือว่าเติบโตและประสบความสำเร็จพอสมควร และหวังว่าการลงทุนในหุ้น SECC จะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
"ผมชอบที่จะเป็นผู้บุกเบิกสร้างธุรกิจขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นที่แพลทตินั่ม มาร์เกตติ้ง หรือ SECC ทั้งสองบริษัทคือการลงทุนระยะยาวของผม"
นพปฏล เจสัน จิรสันต์ เส้นทางสายธุรกิจดนตรีของเขากำลังโลดแล่น แต่ธุรกิจใหม่ เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ ที่เขาลงทุนจะแก้ปัญหา "หนี้" และส่วนทุน "ติดลบ" อย่างไร จะเสกใบหุ้น (เศษกระดาษ) ให้เป็น "เงินก้อนโต" และจะลงทุนหุ้น 10 เด้งเหมือนที่ ปีเตอร์ ลินช์ เคยทำสำเร็จหรือไม่
...วันนี้กองเชียร์ข้างสนามยังสงสัยว่าถ้าไม่บ้า...พี่ท่านก็คงเมา
Tags : นพปฏล เจสัน จิรสันต์ • เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส • SECC
9 เหตุผล..ฝรั่งทิ้งหุ้นกว่า 5 หมื่นล้าน ทำไม! SET Index ถึง 'ไม่ลง' มาก
14 June 2010
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ผ่านไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่ใครเลยจะคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำกำไรกันอย่างอู้ฟู่ หลายบริษัทสามารถสร้างสถิติทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป บริษัทเหล่านี้น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ค่อยๆ มีกำไรขึ้นมา แล้วค่อยกลับมาทำกำไรอยู่ในระดับเดิมเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏ กลับกลายเป็นว่าแต่ละบริษัทสามารถทำกำไรกันอย่างถล่มทลายพลิกความคาดหมาย เราลองวิเคราะห์กันดูว่า อะไรเป็นเหตุผลให้บริษัทเหล่านั้นกลับมามีกำไรกันยกแผงทั้งกระดาน
1. คำสั่งซื้อล้นทะลัก
วันที่บริษัทเลแมน บราเดอร์สประกาศล้มละลาย เป็นเสมือนวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณว่าฟองสบู่ของประเทศตนแตกแล้ว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้ถือวันนั้นเป็นสัญญาณรีบรัดเข็มขัด ด้วยการหยุดซื้อวัตถุดิบชั่วคราว บริษัทที่เคยสต็อกวัตถุดิบเพื่อการผลิตไว้ 6 เดือน อาจจะหยุดซื้อวัตถุดิบไปเลยทันที รอให้วัตถุดิบเหลือเพียง 3 เดือนแล้วค่อยสั่งซื้อเพิ่ม
เพราะเขารู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ราคาวัตถุดิบมักจะถูกลงเสมอ หลายบริษัทจึงพยายามลดการสำรองวัตถุดิบให้น้อยที่สุด เพราะแน่ใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทต้องลดลงไปตามภาวะตลาดด้วย
ทุกบริษัทจะรอถึงวันที่เศรษฐกิจฟื้น เมื่อตลาดฟื้น บริษัทเหล่านี้จะกลับมาสำรองวัตถุดิบในระดับ 6 เดือนเช่นเดิม การที่จู่ๆ จะสั่งเพิ่มวัตถุดิบจากที่มีอยู่ 3 เดือนเป็น 5-6 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อล้นทะลัก ไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบหรือสินค้าทั่วไปจะปรับราคาขึ้นได้หรือไม่ แต่เมื่อสามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% ผลกำไรจากการผลิตจำนวนมาก (economy of scale) ทำให้กำไรไหลมาเทมา
2. คู่แข่งเหลือน้อยลง
เวลาเศรษฐกิจดี คู่แข่งใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเล็กๆ มักล้มหายตายจากไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมของบริษัทจะกลับคืนมา ลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่ล้มไป ก็มารุมสั่งซื้อสินค้าของบริษัทด้วย
ตามปกติอัตราการใช้กำลังผลิตของโรงงานอาจจะเคยอยู่ที่ 80% เมื่อเกิดวิกฤติอาจลดลงมาที่ 50% ครั้นเศรษฐกิจฟื้นจะพุ่งมาเป็น 100% แล้วอย่างนี้กำไรจะหายไปไหน
3. มาตรการลดต้นทุน แสดงผล
เวลาเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีความตื่นตัวที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่นการลดบุคลากรที่ไม่จำเป็น การประหยัดน้ำ-ไฟ หรือการลดความสูญเสียวัตถุดิบในขบวนการผลิต ในขณะที่พนักงานก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและตนเอง
ความร่วมมือร่วมใจนี้ ช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มาก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ผลของมาตรการนี้ยังดำรงอยู่ ต้นทุนลดต่ำลงในขณะที่ราคาขายของสินค้ากลับมาดีดังเดิม ส่วนต่างที่สูงขึ้น จะแปรรูปมาเป็นกำไรที่งดงามนั่นเอง
4. ราคาขายปรับขึ้นแล้ว แต่ราคาวัตถุดิบยังต่ำอยู่
เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทุกบริษัทพยายามจะขายสินค้าออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่กำลังซื้อมีน้อย จึงต้องใช้วิธีลดราคาสินค้า บางครั้งต้องยอมขายขาดทุน เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงที่ซื้อไว้ก่อนหน้าในช่วงที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดฟื้นตัว ผู้บริโภคต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ ราคาสินค้าค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับต่ำลง เพราะวัตถุดิบที่ซื้อไว้ระยะหลัง ตอนที่เศรษฐกิจซบเซามีราคาถูก (เหมือนกินบุญเก่า จากนโยบายการลงบัญชีแบบ FIFO / first in-first out) จนกระทั่งเมื่อวัตถุดิบราคาถูกหมดไป ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นทยอยเข้ามาทดแทน อาจจะทำให้กำไรลดลง จนกลับสู่สมดุลของกำไรปกติ
นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของบริษัทที่มีการตุนวัตถุดิบไว้หลายๆ เดือน เมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกต่ำจะแสดงผลขาดทุนจนน่าตกใจ แต่พอตลาดฟื้น ก็จะแสดงผลกำไรอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าลักษณะบุญทำกรรมเก่านั่นเอง
5. ต้นทุนทางการเงินยังไม่ปรับขึ้น
หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสักระยะหนึ่ง ดอกเบี้ยในตลาดการเงินมักจะลดต่ำลง ตามอุปสงค์การใช้เงินที่ลดน้อยลง ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรืออัตราดอกเบี้ยกู้ที่บริษัทเสนอขายให้ประชาชน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บางครั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง จึงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน ในระหว่างนี้บริษัทจึงได้รับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ยังต่ำ ทั้งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทไหนได้ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเอาไว้มาก เท่ากับได้เงินทุนต้นทุนต่ำไว้ใช้หลายปีทีเดียว
6. อานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมักออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับต่างๆ บางครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว แต่มาตรการของรัฐยังไม่หมดอายุ เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี หรือการลดเงินสมทบประกันสังคม ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่รายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ทำให้กำไรสุทธิที่ได้ ขยับสูงขึ้น
7. ได้เวลานำผลวิจัยมาใช้
บริษัทส่วนใหญ่มีแผนกวิจัยและพัฒนา บางครั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการวางสินค้า เพราะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องรอเศรษฐกิจฟื้น
ครั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้น บริษัทเหล่านี้ก็จะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่มักมีกำไร (มาร์จิน) มากกว่าปกติ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง จึงสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ
8. เศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้กลับมาใช้หนี้
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มักมีปัญหาสภาพคล่อง ลูกหนี้ของบริษัทโดยเฉพาะรายย่อยอาจจะหมุนเงินไม่ทัน ทำให้ขาดการชำระหนี้ หรืออาจจะขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป บางรายยืดเวลาออกไปนานมาก จนบริษัทต้องลงบัญชี ตั้งสำรองเป็นหนี้สูญ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร เขาจะมีเงินมาจ่ายหนี้
วันดีคืนดี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเจตนาคดโกง ก็จะกลับมาใช้หนี้ หรือขอประนอมหนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้ากลับคืนมา เงินที่คิดว่าสูญไปแล้ว กลับกลายมาเป็นรายได้ ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งทะยานได้
9. มีประสบการณ์ รับมือวิกฤติ
ข้อสุดท้าย แต่ว่าสำคัญที่สุด คือ บริษัทใหญ่ๆ ของไทย ส่วนใหญ่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรง ผู้บริหารบริษัทล้วนยังเข็ดหลาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติครั้งใหม่ในสหรัฐ หรือแม้แต่ในยุโรป บริษัทเหล่านี้จะหยุดความเสี่ยงทันที ด้วยการหยุดสต็อกสินค้า ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน หาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน หรือแม้แต่ตัดวงเงินเครดิตของลูกค้าที่มีความเสี่ยงแบบฉับพลัน
ผลที่ปรากฏออกมา จึงเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ ของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเลย และพร้อมที่จะผงาดขึ้นทันทีที่ตลาดโลกฟื้นตัว
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ละบริษัทคงไม่สามารถที่จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ครบทุกข้อ บางบริษัทมีปัจจัยบวกมากถึง 5 ข้อ ขณะที่บางบริษัทอาจมีปัจจัยบวกเพียงข้อเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งพรวดจนสะดุดตาได้
หวังว่ามันจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า ทำไม! กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/2553 ที่ผ่านมา จึงเติบโตถึง 85% ผลักดันให้ GDP ไตรมาสแรกของไทยพุ่งทะยาน 12% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบว่า ฝรั่งเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาทในพฤษภาคมเดือนเดียว ทำไมหุ้นไทยถึงลงไม่มาก คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ไม่รู้ว่าอย่างนี้ จะเรียกว่ามี "ฝีมือ" หรือ "ส้มหล่น" ดี เอาเป็นว่า "เก่ง" ด้วย "เฮง" ด้วย ก็แล้วกัน
Tags : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
http://www.bangkokbiznews.com
วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ผ่านไปแล้วประมาณ 1 ปีเศษ แต่ใครเลยจะคิดว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 1 ปี จะทำให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำกำไรกันอย่างอู้ฟู่ หลายบริษัทสามารถสร้างสถิติทำกำไรสูงสุดในรอบหลายปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หากเราคิดอย่างคนทั่วไป บริษัทเหล่านี้น่าจะค่อยๆ ฟื้นตัว ค่อยๆ มีกำไรขึ้นมา แล้วค่อยกลับมาทำกำไรอยู่ในระดับเดิมเหมือนช่วงก่อนเกิดวิกฤติ แต่ภาพที่ปรากฏ กลับกลายเป็นว่าแต่ละบริษัทสามารถทำกำไรกันอย่างถล่มทลายพลิกความคาดหมาย เราลองวิเคราะห์กันดูว่า อะไรเป็นเหตุผลให้บริษัทเหล่านั้นกลับมามีกำไรกันยกแผงทั้งกระดาน
1. คำสั่งซื้อล้นทะลัก
วันที่บริษัทเลแมน บราเดอร์สประกาศล้มละลาย เป็นเสมือนวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาส่งสัญญาณว่าฟองสบู่ของประเทศตนแตกแล้ว บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้ถือวันนั้นเป็นสัญญาณรีบรัดเข็มขัด ด้วยการหยุดซื้อวัตถุดิบชั่วคราว บริษัทที่เคยสต็อกวัตถุดิบเพื่อการผลิตไว้ 6 เดือน อาจจะหยุดซื้อวัตถุดิบไปเลยทันที รอให้วัตถุดิบเหลือเพียง 3 เดือนแล้วค่อยสั่งซื้อเพิ่ม
เพราะเขารู้ว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ราคาวัตถุดิบมักจะถูกลงเสมอ หลายบริษัทจึงพยายามลดการสำรองวัตถุดิบให้น้อยที่สุด เพราะแน่ใจว่ายอดจำหน่ายของบริษัทต้องลดลงไปตามภาวะตลาดด้วย
ทุกบริษัทจะรอถึงวันที่เศรษฐกิจฟื้น เมื่อตลาดฟื้น บริษัทเหล่านี้จะกลับมาสำรองวัตถุดิบในระดับ 6 เดือนเช่นเดิม การที่จู่ๆ จะสั่งเพิ่มวัตถุดิบจากที่มีอยู่ 3 เดือนเป็น 5-6 เดือน ทำให้คำสั่งซื้อล้นทะลัก ไม่ว่าบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบหรือสินค้าทั่วไปจะปรับราคาขึ้นได้หรือไม่ แต่เมื่อสามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% ผลกำไรจากการผลิตจำนวนมาก (economy of scale) ทำให้กำไรไหลมาเทมา
2. คู่แข่งเหลือน้อยลง
เวลาเศรษฐกิจดี คู่แข่งใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ บริษัทเล็กๆ มักล้มหายตายจากไปก่อน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ยอดสั่งซื้อของลูกค้าเดิมของบริษัทจะกลับคืนมา ลูกค้าของบริษัทคู่แข่งที่ล้มไป ก็มารุมสั่งซื้อสินค้าของบริษัทด้วย
ตามปกติอัตราการใช้กำลังผลิตของโรงงานอาจจะเคยอยู่ที่ 80% เมื่อเกิดวิกฤติอาจลดลงมาที่ 50% ครั้นเศรษฐกิจฟื้นจะพุ่งมาเป็น 100% แล้วอย่างนี้กำไรจะหายไปไหน
3. มาตรการลดต้นทุน แสดงผล
เวลาเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทห้างร้านต่างๆ ล้วนมีความตื่นตัวที่จะลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่นการลดบุคลากรที่ไม่จำเป็น การประหยัดน้ำ-ไฟ หรือการลดความสูญเสียวัตถุดิบในขบวนการผลิต ในขณะที่พนักงานก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและตนเอง
ความร่วมมือร่วมใจนี้ ช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้มาก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว ผลของมาตรการนี้ยังดำรงอยู่ ต้นทุนลดต่ำลงในขณะที่ราคาขายของสินค้ากลับมาดีดังเดิม ส่วนต่างที่สูงขึ้น จะแปรรูปมาเป็นกำไรที่งดงามนั่นเอง
4. ราคาขายปรับขึ้นแล้ว แต่ราคาวัตถุดิบยังต่ำอยู่
เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ทุกบริษัทพยายามจะขายสินค้าออกไปให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่กำลังซื้อมีน้อย จึงต้องใช้วิธีลดราคาสินค้า บางครั้งต้องยอมขายขาดทุน เพราะมีต้นทุนวัตถุดิบราคาสูงที่ซื้อไว้ก่อนหน้าในช่วงที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
ในทางกลับกัน เมื่อตลาดฟื้นตัว ผู้บริโภคต่างออกมาจับจ่ายซื้อของ ราคาสินค้าค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตกลับต่ำลง เพราะวัตถุดิบที่ซื้อไว้ระยะหลัง ตอนที่เศรษฐกิจซบเซามีราคาถูก (เหมือนกินบุญเก่า จากนโยบายการลงบัญชีแบบ FIFO / first in-first out) จนกระทั่งเมื่อวัตถุดิบราคาถูกหมดไป ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้นทยอยเข้ามาทดแทน อาจจะทำให้กำไรลดลง จนกลับสู่สมดุลของกำไรปกติ
นี่จึงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของบริษัทที่มีการตุนวัตถุดิบไว้หลายๆ เดือน เมื่อถึงคราวเศรษฐกิจตกต่ำจะแสดงผลขาดทุนจนน่าตกใจ แต่พอตลาดฟื้น ก็จะแสดงผลกำไรอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าลักษณะบุญทำกรรมเก่านั่นเอง
5. ต้นทุนทางการเงินยังไม่ปรับขึ้น
หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสักระยะหนึ่ง ดอกเบี้ยในตลาดการเงินมักจะลดต่ำลง ตามอุปสงค์การใช้เงินที่ลดน้อยลง ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร หรืออัตราดอกเบี้ยกู้ที่บริษัทเสนอขายให้ประชาชน แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บางครั้งคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยอาจยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริง จึงชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน ในระหว่างนี้บริษัทจึงได้รับอานิสงส์จากต้นทุนทางการเงินที่ยังต่ำ ทั้งที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไปแล้ว ยิ่งถ้าบริษัทไหนได้ออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะยาวเอาไว้มาก เท่ากับได้เงินทุนต้นทุนต่ำไว้ใช้หลายปีทีเดียว
6. อานิสงส์จากมาตรการช่วยเหลือของรัฐ
ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ รัฐมักออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการระดับต่างๆ บางครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้ว แต่มาตรการของรัฐยังไม่หมดอายุ เช่นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี หรือการลดเงินสมทบประกันสังคม ทำให้บริษัทเหล่านี้ยังคงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำ ขณะที่รายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว ทำให้กำไรสุทธิที่ได้ ขยับสูงขึ้น
7. ได้เวลานำผลวิจัยมาใช้
บริษัทส่วนใหญ่มีแผนกวิจัยและพัฒนา บางครั้งได้มีการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการวางสินค้า เพราะเศรษฐกิจซบเซา จึงต้องรอเศรษฐกิจฟื้น
ครั้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้น บริษัทเหล่านี้ก็จะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กันอย่างเอิกเกริก สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่มักมีกำไร (มาร์จิน) มากกว่าปกติ เพราะยังไม่มีคู่แข่ง จึงสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ
8. เศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้กลับมาใช้หนี้
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี มักมีปัญหาสภาพคล่อง ลูกหนี้ของบริษัทโดยเฉพาะรายย่อยอาจจะหมุนเงินไม่ทัน ทำให้ขาดการชำระหนี้ หรืออาจจะขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป บางรายยืดเวลาออกไปนานมาก จนบริษัทต้องลงบัญชี ตั้งสำรองเป็นหนี้สูญ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร เขาจะมีเงินมาจ่ายหนี้
วันดีคืนดี เมื่อเศรษฐกิจฟื้น ลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเจตนาคดโกง ก็จะกลับมาใช้หนี้ หรือขอประนอมหนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกค้ากลับคืนมา เงินที่คิดว่าสูญไปแล้ว กลับกลายมาเป็นรายได้ ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งทะยานได้
9. มีประสบการณ์ รับมือวิกฤติ
ข้อสุดท้าย แต่ว่าสำคัญที่สุด คือ บริษัทใหญ่ๆ ของไทย ส่วนใหญ่เคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว โดยเฉพาะวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและรุนแรง ผู้บริหารบริษัทล้วนยังเข็ดหลาบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณเตือนว่า กำลังจะเกิดวิกฤติครั้งใหม่ในสหรัฐ หรือแม้แต่ในยุโรป บริษัทเหล่านี้จะหยุดความเสี่ยงทันที ด้วยการหยุดสต็อกสินค้า ทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน หาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน หรือแม้แต่ตัดวงเงินเครดิตของลูกค้าที่มีความเสี่ยงแบบฉับพลัน
ผลที่ปรากฏออกมา จึงเป็นว่า บริษัทใหญ่ๆ ของไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นเลย และพร้อมที่จะผงาดขึ้นทันทีที่ตลาดโลกฟื้นตัว
จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมา แต่ละบริษัทคงไม่สามารถที่จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ครบทุกข้อ บางบริษัทมีปัจจัยบวกมากถึง 5 ข้อ ขณะที่บางบริษัทอาจมีปัจจัยบวกเพียงข้อเดียว แต่มันก็เพียงพอที่ทำให้กำไรของบริษัทพุ่งพรวดจนสะดุดตาได้
หวังว่ามันจะให้คำตอบแก่เราได้ว่า ทำไม! กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/2553 ที่ผ่านมา จึงเติบโตถึง 85% ผลักดันให้ GDP ไตรมาสแรกของไทยพุ่งทะยาน 12% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 15 ปี ในเวลาเดียวกันก็เป็นคำตอบว่า ฝรั่งเทขายหุ้นไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาทในพฤษภาคมเดือนเดียว ทำไมหุ้นไทยถึงลงไม่มาก คนที่ยิ้มแก้มปริคงเป็นรัฐมนตรีคลัง กรณ์ จาติกวณิช ไม่รู้ว่าอย่างนี้ จะเรียกว่ามี "ฝีมือ" หรือ "ส้มหล่น" ดี เอาเป็นว่า "เก่ง" ด้วย "เฮง" ด้วย ก็แล้วกัน
Tags : บรรยง วิทยวีรศักดิ์
http://www.bangkokbiznews.com
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
NLP Neuro-linguistic Programming
NLP - เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยา ช่วยสร้างความสำเร็จได้อย่างไร
For English http://knowledgedim.blogspot.com/
NLP เชื่อว่า ปัญหาทางอารมณ์ของคนเรา เกิดจากการทำงานของ
ระบบประสาทและจิตใจ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย เกิดจากการลง
โปรแกรม หรือปลูกฝัง หรือสั่งสมทางประสบการณ์ ผ่านจิตสำนึก
และจิตใต้สำนึก ด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วถูกนำไปแปลความ
บนพื้นฐานความเชื่อที่ผิด ๆ แล้วจัดเก็บเป็นระบบความจำที่ไร้ระเบียบ
NLP พบว่า การทำงานของสมอง ความคิดหรือจิตใจ และการแสดง
ออกทางร่างกาย ล้วนเป็นเหตุเป็นผลและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสั่งการหรือคิด
หากมีการฝึกใช้ชุดคำสั่งทางภาษาที่ถูกวิธี ภาษา หรือถ้อยคำสั้น ๆ
จะเป็นตัวสับไกก่อให้เกิดการกระทำทุก ๆ อย่าง ให้เป็นผลสำเร็จได้
อย่างน่ามหัศจรรย์
มารู้จักกับ NLP กันก่อน
เทคโนโลยีนี้ ได้พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว โดย
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ และผู้ช่วย ดร. จอห์น กรินเดอร์
แห่งมหาวิทยาลัยซันตาครูซ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
และโด่งดังเป็นพลุแตกในสหรัฐอเมริกา และแพร่ไปทั่วโลกอย่าง
รวดเร็ว
เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตบำบัด
จิตแพทย์ นักพัฒนาศักยภาพ นักเจรจาต่อรอง นักการตลาด
นักขาย และนักพูดโน้มน้าวใจ
NLP ย่อมาจากคำว่า Neuro - Linguistic Programming
Neuro หมายถึง ระบบประสาทหรือระบบสมอง
เทคโนโลยี NLP ถือว่า มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ผ่าน ตา หู
จมูก ลิ้น และสัมผัส แล้วแปลความหมายผ่านกระบวนการคิด
โดยจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก แล้วกระบวนการคิดนี้ จะไปกระตุ้น
ให้ระบบประสาทหรือสมองทำงาน ก่อให้เกิดการแสดงออก
ทางอารมณ์และพฤติกรรม
Linguistic หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
ในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการใช้ภาษาไปแปล
ความ แล้วสื่อความไปยังตัวเองและบุคคลอื่น
เทคโนโลยี NLP พบว่า ถ้อยคำที่คุณคิดและพูด มีผลต่อ
พฤติกรรมของคุณโดยตรง
Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวิธีคิด วิธีใช้ภาษา
และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบ
การคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันจะส่งผลต่อการแสดงออกทาง
ร่างกายที่ดีเลิศ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์
ในรูปแบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้
การประเมินค่า และเพิ่มประสิทธิภาพความจำ เปรียบเสมือน
การลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้ว
ลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมอง
หากจะนิยาม NLP เสียใหม่ ให้สั้น เป็นข้อ ๆ ได้แก่
1. ศิลปะและศาสตร์ในการติดต่อสื่อสารแบบหวังผลเลิศ
2. กุญแจแห่งการเรียนรู้ที่ทรงพลัง
3. เคล็ดลับสู่เป้าหมายสำหรับทุก ๆ สิ่งที่ต้องการในชีวิต
4. คู่มือสำหรับพัฒนาระบบการคิด ระบบประสาทและสมอง
5. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
6. เทคโนโลยีผ่าตัดพฤติกรรมด้านลบ และสร้างตัวตนใหม่
เทคโนโลยี NLP จะกล่าวถึงหลัก ๆ ดังนี้
1. วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างคุณกับคนรอบข้าง หรือเรียนรู้วิธีสร้างมิตรภาพ
กับกลุ่มคนที่คุณอยากจะเป็นพวกเดียวกัน และเรียนรู้วิธี
ปฏิเสธที่นิ่มนวลในทุกสถานการณ์ คุณจะเรียนรู้ภาษา
กาย เพื่อเข้าถึงจิตใจและอารมณ์ของคนที่ต้องการจะ
ติดต่อสัมพันธ์ด้วย
2. การใช้ประสาทสัมผัส
เพื่อล้วงรู้อารมณ์และจิตใจของบุคคลอื่น ทันทีที่คุณได้
เห็น สีบ้าน อาหารที่คนอื่นรับประทาน เสื้อผ้าที่สวมใส่
เสียงที่พูด หรือกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ก็สามารถเข้าใจคน ๆ
นั้นได้ทะลุปรุโปร่ง
3. วิธีการคิดแบบหวังผลลัพธ์
เป็นวิธีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผน
ที่ไม่มีวันล้มเหลว
4. การยืดหยุ่นกับวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
หากคุณทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ผล หมายความว่า คุณ
ต้องเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆ คุณจะเรียนรู้เทคนิคความสำเร็จ
โดยวิธีการถอดแบบอย่างเป็นขั้นตอน จากคนที่ประสบความ
สำเร็จในอดีต
5. การสะกดจิตตนเอง
เทคโนโลยี NLP มีความโดดเด่นในเรื่อง การสะกดจิต
ตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เช่น การเลิกบุหรี่ เลิกติดสุรา
ลดความอ้วน เลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง สามารถทำได้
สำเร็จภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยวิธีการง่าย ๆ และ
เป็นการเปลี่ยนอย่างถาวร
6. รูปแบบพฤติกรรม
ชุดปฏิกิริยาที่ระบบประสาทออกคำสั่งให้ร่างกายทุกส่วน
ทำงานให้สอดคล้องกับความคิด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น คนโกรธจะ
มีอารมณ์แบบหนึ่ง ก็จะมีชุดปฏิกิริยาเกิดขึ้นทางร่างกาย
เป็นการเฉพาะ เช่น หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง
หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง กระเพาะบีบรัด หายใจสั้น
ไม่ทั่วท้อง ขณะที่คนดีใจ หรือมีความสุข ก็จะมีชุด
ปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน NLP จะสอนให้
ควบคุม แก้ไข และพัฒนาอารมณ์ทุก ๆ อย่าง ให้ทำงาน
ตามที่ต้องการ
NLP ถูกนำไปใช้ในการรักษา ผู้ป่วยทางจิต หรือการบำบัด
ผู้มีอาการทางอารมณ์ในระดับต่าง ๆ ผู้สิ้นหวัง เด็กเรียน
หนังสือไม่เก่ง ผลการเรียนตกต่ำ นักกีฬาอาชีพที่มีผลงานไม่ดี
อาการนอนไม่หลับ เครียด ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คน
ล้มเหลวทางธุรกิจ คนขาดเป้าหมายในชีวิต เป็นต้น และมีการ
นำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ การตัดสินใจ การกีฬา การทำงาน
การเงิน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการสร้างผลงานที่
โดดเด่นเป็นเลิศ และอื่น ๆ
ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่อง พอสังเขปเท่านั้น
1. เคล็ดลับสำคัญเรื่องความเชื่อ
เมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ ก็จะไม่มีความมั่นใจ
เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็อย่าหวังว่าจะมีพลังที่จะทำสิ่งใด
ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดความคิด ความรู้สึก การกระทำทุกอย่าง
ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน กำหนดการกิน การเดิน การนั่ง การใช้ชีวิต
การออกกำลังกายทุก ๆ อย่าง
หากต้องการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีอิสระทางการเงิน
มากขึ้น และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น มีวิธีง่าย ๆ วิธีเดียว คือ ต้องเปลี่ยน
ความเชื่อ เมื่อคุณเปลี่ยนความเชื่อ คุณก็จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
นั่นเอง
ขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. ระบุให้ชัดว่า ความเชื่ออะไรที่จำกัดชีวิตคุณไว้ และคุณต้อง
การจะเปลี่ยน
2. ค้นหาความเชื่อในระดับจิตวิญญาณภายใน
3. จดบันทึกการเชื่อมโยงความเชื่อ
4. ระบุลักษณะความรู้สึกสงสัย
5. เปรียบเทียบความเชื่อกับความสงสัย
6. ทดสอบลักษณะภาพฉากต่อฉาก
7. ริเริ่มความเชื่อใหม่
8. ตรวจสอบความเชื่อ
สรุปขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. แปลงความเชื่อเดิมที่ต้องการขจัดทิ้ง ให้กลายเป็นความสงสัย
2. ปลูกฝังความเชื่อใหม่ทับลงไปในความเชื่อเดิมทันที
3. ทำลายความเชื่อเดิม ขยายภาพความเชื่อใหม่
2 วิธีขจัดภาพฝังใจที่ไม่พึงประสงค์
คุณเคยเป็นเช่นนี้ไหม เรื่องเลวร้ายในอดีต หรือเรื่องเยี่ยมยอด
ที่จำฝังใจ
เรื่องเลวร้ายในอดีตแล้วนำกลับมาคิดซ้ำ ๆ แม้เวลาจะล่วงเลย
มานับสิบ ๆ ปี แล้วก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ เราไม่อยากจะคิดถึงมัน
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เรายังไม่รู้จักวิธีการควบคุมระบบความคิด
นั่นเอง
ในทางกลับกัน เรารู้สึกถึงความเยี่ยมยอดของวันหยุดที่จะมาถึง
ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวันนั้น แม้ว่าเมื่อถึงวันหยุดจริง ๆ
อาจจะไม่เยี่ยมยอดขนาดนั้นเลยก็ได้
แต่ละคนมักจะมีพฤติกรรมขัดแย้งกันเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถ
เปล่งศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างเต็มที่ บางครั้งร่างกายบาง
ส่วนไม่ตอบสนองเอาดื้อ ๆ เช่น คนกลัวพูดในที่ประชุม ทันทีที่
ยืนหน้าไมโครโฟน อาการขาสั่นมือไม้เกะกะจะเกิดขึ้นทันที ขณะที่
บางคนเปล่งเสียงแปลก ๆ จนขำตัวเอง ก็มีให้เห็น หรือแม้กระทั่ง
นักกีฬามืออาชีพที่ผ่านสนามมานักต่อนักแล้ว อยู่ ๆ เมื่อถึงวันแข่งขัน
จริง บางครั้งเกิดความเครียดหมดเรี่ยวแรงจนต้องถอนตัวไปก็มีให้
เห็นอยู่เสมอ ๆ
อาการทำนองนี้ นักประสาทวิทยาและนักพัฒนาศักยภาพบุคคลได้
ร่วมกันศึกษาวิจัยมาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ พบว่า ส่วนใหญ่เกิด
จากพฤติกรรมความกลัว หรือกังวล ที่แฝงอยู่ในระบบความคิดที่
ขัดแย้งกับสิ่งที่ต้องการทำ ภาพแห่งความกลัวหรือวิตกกังวลเหล่านั้น
ซุกซ่อนในจิตใต้สำนึกรอวันเปิดเผยออกมาเมื่อเวลาสุกงอม และ
เรามักไม่รู้ตัวล่วงหน้า
หรืออาจจะเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันเอง เช่น ต้องการ
อ่านหนังสือสอบ ต้องการสอบผ่าน หรือสอบให้ได้คะแนนดี แต่
ขณะเดียวกันในใจก็วางแผนการทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้โอกาสอ่าน
หนังสือลดน้อยลง หรือบางคนต้องการลดความอ้วน ขณะอยู่ใน
ขั้นตอนการลดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกินอาหารเกินความต้องการ
ตามที่เคยปฏิบัติจนเป็นนิสัย เห็นได้ว่า แต่ละคนจะมีพฤติกรรม
ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมายเหล่านี้
เป็นภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้วยความเคยชิน และหลบ
ซ่อนอยู่ แม้ว่าบางคนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะไม่กลับไปมี
พฤติกรรมเช่นนั้นอีก แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
วิธีทำลายภาพในใจที่ไม่พึงประสงค์
1. ตรวจสอบพฤติกรรม ระบุ และจำแนกให้เด่นชัดว่า อะไรคือ
พฤติกรรมที่ขัดแย้งกัน
2. สร้างภาพพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมาย และแต่งเติมภาพ
เป้าหมายหลักขึ้นในใจให้ชัดเจน
3. นำภาพในฝ่ามือทั้งสองข้างมารวมกัน
หากใครฝึกฝนจนชำนาญ สามารถขจัดอารมณ์ด้านลบทุก ๆ อย่าง
ให้หายไป ภายในเวลาไม่กี่วินาที
การค้นพบบางอย่างของศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าเรื่องนี้
จนพบว่า มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างน่าอัศจรรย์
ไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด ไม่ขึ้นอยู่กับอายุ และสามารถเรียนรู้ได้
รวดเร็วอย่างน่ากลัว มีสิ่งที่พึงระวังคือ ความสามารถนี้ครอบคลุม
ถึงการเรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี
วิธีควบคุมสมองตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่น
วิธีควบคุมสมองตนเอง มีขั้นตอนง่าย ๆ คือ หากต้องการความ
สำเร็จด้านใดก็ตาม คุณจะต้องขัดจังหวะพฤติกรรมเดิม ๆ เปลี่ยน
รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ แล้วทำสิ่งที่คุณสนใจอย่าง
หมกมุ่น ทุ่มเท ทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง ในที่สุดคุณจะสร้าง
ผลลัพธ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ๆ นี่เป็นวิธีการแสนจะง่ายดาย
แต่ทรงพลัง
วิธีฝึกความจำสำหรับคนความจำแย่
ศาสตราจารย์ แบนด์เลอร์ เล่าให้ฟังว่า "หากคุณเป็นคนความจำ
แย่ หรือนึกอะไรไม่ค่อยออก คราวต่อไป หากต้องการจำสิ่งใด
ให้คิดถึงสิ่งนั้นแล้วตีกรอบไว้ด้วยเส้นหนาสีดำ ใช้เวลาสักสองสาม
วินาที นึกถึงเรื่องนั้นอยู่ในกรอบสีดำ แล้วจินตนาการว่า นำภาพ
ในกรอบสีดำนั้นไปใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วดึงภาพเข้า ๆ ออก ๆ
ทำซ้ำ ๆ สักห้าหรือหกครั้งในจินตนาการ ภายในเวลาเสี้ยววินาที
คุณก็จะจำสิ่งนั้นไม่มีวันลืม"
การปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่
คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเรียน สุขภาพ การเงิน และความ
สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความคิด และความจำ
โดยการปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่ ด้วยการเข้าควบคุมสมองของ
คุณเอง
การควบคุมสมองจะทำให้คุณสามารถเป็นคนใหม่ได้ ด้วยวิธีการ
ง่าย ๆ เพียงแต่คุณเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด และการกระทำ
คุณก็จะเปลี่ยนทุกอย่างได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนมีพลังอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นที่ไม่คิดว่า
จะเป็นไปได้ มีชีวิตที่เหลือเชื่อ คุณจะสดใส มองเห็นอนาคต
ที่น่าตื่นเต้น มีคนรักมากขึ้น มีมิตรภาพที่ไม่มีวันหมดสิ้น แล้ว
ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความเครียด
ความกลัว วิตกกังวล หดหู่ หรือเศร้าหมอง ก็จะอยู่ภายใต้
การควบคุมของคุณและสามารถขจัดมันออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
สรุป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการแนะนำในเบื้องต้นเท่านั้นว่า NLP
เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยานี้คืออะไร และจะช่วยสร้างความ
สำเร็จได้อย่างไร และหากท่านสนใจ ขอเชิญศึกษาค้นคว้าต่อ
ทั้งหนังสือภาษาไทย และต่างประเทศ เช่น สืบค้นจาก
www.google.co.th ก็มีชาวต่างประเทศเขียนหนังสือตำราไว้
หลายเล่มด้วยกัน และยังมีบทเรียนในเรื่องนี้ให้ได้ศึกษาฟรีก็มี
ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปปฏิบัติให้ได้ผลดี เพื่อตัวท่านเอง
หรือบุตรหลานของท่านได้
บทความเสริมเกี่ยวกับ NLP ที่ควรทราบ
http://www.inboxstory.com/?p=222
------------
คัดย่อจาก : หนังสือ NLP ภาษา สมอง มหัศจรรย์ เทคโนโลยี
สร้างความสำเร็จชั่วข้ามคืน, วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์, สำนักพิมพ์ บานานา
สวีท, พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2551
For English http://knowledgedim.blogspot.com/
NLP เชื่อว่า ปัญหาทางอารมณ์ของคนเรา เกิดจากการทำงานของ
ระบบประสาทและจิตใจ ที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย เกิดจากการลง
โปรแกรม หรือปลูกฝัง หรือสั่งสมทางประสบการณ์ ผ่านจิตสำนึก
และจิตใต้สำนึก ด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วถูกนำไปแปลความ
บนพื้นฐานความเชื่อที่ผิด ๆ แล้วจัดเก็บเป็นระบบความจำที่ไร้ระเบียบ
NLP พบว่า การทำงานของสมอง ความคิดหรือจิตใจ และการแสดง
ออกทางร่างกาย ล้วนเป็นเหตุเป็นผลและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสั่งการหรือคิด
หากมีการฝึกใช้ชุดคำสั่งทางภาษาที่ถูกวิธี ภาษา หรือถ้อยคำสั้น ๆ
จะเป็นตัวสับไกก่อให้เกิดการกระทำทุก ๆ อย่าง ให้เป็นผลสำเร็จได้
อย่างน่ามหัศจรรย์
มารู้จักกับ NLP กันก่อน
เทคโนโลยีนี้ ได้พัฒนาขึ้นเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว โดย
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ และผู้ช่วย ดร. จอห์น กรินเดอร์
แห่งมหาวิทยาลัยซันตาครูซ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
และโด่งดังเป็นพลุแตกในสหรัฐอเมริกา และแพร่ไปทั่วโลกอย่าง
รวดเร็ว
เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตบำบัด
จิตแพทย์ นักพัฒนาศักยภาพ นักเจรจาต่อรอง นักการตลาด
นักขาย และนักพูดโน้มน้าวใจ
NLP ย่อมาจากคำว่า Neuro - Linguistic Programming
Neuro หมายถึง ระบบประสาทหรือระบบสมอง
เทคโนโลยี NLP ถือว่า มนุษย์รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ผ่าน ตา หู
จมูก ลิ้น และสัมผัส แล้วแปลความหมายผ่านกระบวนการคิด
โดยจิตสำนึก และจิตใต้สำนึก แล้วกระบวนการคิดนี้ จะไปกระตุ้น
ให้ระบบประสาทหรือสมองทำงาน ก่อให้เกิดการแสดงออก
ทางอารมณ์และพฤติกรรม
Linguistic หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ
ในการตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการใช้ภาษาไปแปล
ความ แล้วสื่อความไปยังตัวเองและบุคคลอื่น
เทคโนโลยี NLP พบว่า ถ้อยคำที่คุณคิดและพูด มีผลต่อ
พฤติกรรมของคุณโดยตรง
Programming หมายถึง กระบวนการปลูกฝังวิธีคิด วิธีใช้ภาษา
และการเคลื่อนไหวทางร่างกาย เพื่อสร้างสภาวะจิตและรูปแบบ
การคิดใหม่ที่ทรงพลัง อันจะส่งผลต่อการแสดงออกทาง
ร่างกายที่ดีเลิศ เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการคิดและอารมณ์
ในรูปแบบใหม่ ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน
ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การแก้ปัญหา การเรียนรู้
การประเมินค่า และเพิ่มประสิทธิภาพความจำ เปรียบเสมือน
การลบโปรแกรมตัวตนคนเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไป แล้ว
ลงโปรแกรมใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมลงในสมอง
หากจะนิยาม NLP เสียใหม่ ให้สั้น เป็นข้อ ๆ ได้แก่
1. ศิลปะและศาสตร์ในการติดต่อสื่อสารแบบหวังผลเลิศ
2. กุญแจแห่งการเรียนรู้ที่ทรงพลัง
3. เคล็ดลับสู่เป้าหมายสำหรับทุก ๆ สิ่งที่ต้องการในชีวิต
4. คู่มือสำหรับพัฒนาระบบการคิด ระบบประสาทและสมอง
5. เคล็ดลับสู่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน
6. เทคโนโลยีผ่าตัดพฤติกรรมด้านลบ และสร้างตัวตนใหม่
เทคโนโลยี NLP จะกล่าวถึงหลัก ๆ ดังนี้
1. วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างคุณกับคนรอบข้าง หรือเรียนรู้วิธีสร้างมิตรภาพ
กับกลุ่มคนที่คุณอยากจะเป็นพวกเดียวกัน และเรียนรู้วิธี
ปฏิเสธที่นิ่มนวลในทุกสถานการณ์ คุณจะเรียนรู้ภาษา
กาย เพื่อเข้าถึงจิตใจและอารมณ์ของคนที่ต้องการจะ
ติดต่อสัมพันธ์ด้วย
2. การใช้ประสาทสัมผัส
เพื่อล้วงรู้อารมณ์และจิตใจของบุคคลอื่น ทันทีที่คุณได้
เห็น สีบ้าน อาหารที่คนอื่นรับประทาน เสื้อผ้าที่สวมใส่
เสียงที่พูด หรือกลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ก็สามารถเข้าใจคน ๆ
นั้นได้ทะลุปรุโปร่ง
3. วิธีการคิดแบบหวังผลลัพธ์
เป็นวิธีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการวางแผน
ที่ไม่มีวันล้มเหลว
4. การยืดหยุ่นกับวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
หากคุณทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ผล หมายความว่า คุณ
ต้องเปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆ คุณจะเรียนรู้เทคนิคความสำเร็จ
โดยวิธีการถอดแบบอย่างเป็นขั้นตอน จากคนที่ประสบความ
สำเร็จในอดีต
5. การสะกดจิตตนเอง
เทคโนโลยี NLP มีความโดดเด่นในเรื่อง การสะกดจิต
ตนเอง เพื่อเป็นคนใหม่ เช่น การเลิกบุหรี่ เลิกติดสุรา
ลดความอ้วน เลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง สามารถทำได้
สำเร็จภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ด้วยวิธีการง่าย ๆ และ
เป็นการเปลี่ยนอย่างถาวร
6. รูปแบบพฤติกรรม
ชุดปฏิกิริยาที่ระบบประสาทออกคำสั่งให้ร่างกายทุกส่วน
ทำงานให้สอดคล้องกับความคิด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
ทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง เช่น คนโกรธจะ
มีอารมณ์แบบหนึ่ง ก็จะมีชุดปฏิกิริยาเกิดขึ้นทางร่างกาย
เป็นการเฉพาะ เช่น หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง
หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง กระเพาะบีบรัด หายใจสั้น
ไม่ทั่วท้อง ขณะที่คนดีใจ หรือมีความสุข ก็จะมีชุด
ปฏิกิริยาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกัน NLP จะสอนให้
ควบคุม แก้ไข และพัฒนาอารมณ์ทุก ๆ อย่าง ให้ทำงาน
ตามที่ต้องการ
NLP ถูกนำไปใช้ในการรักษา ผู้ป่วยทางจิต หรือการบำบัด
ผู้มีอาการทางอารมณ์ในระดับต่าง ๆ ผู้สิ้นหวัง เด็กเรียน
หนังสือไม่เก่ง ผลการเรียนตกต่ำ นักกีฬาอาชีพที่มีผลงานไม่ดี
อาการนอนไม่หลับ เครียด ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คน
ล้มเหลวทางธุรกิจ คนขาดเป้าหมายในชีวิต เป็นต้น และมีการ
นำไปใช้ในการประกอบธุรกิจ การตัดสินใจ การกีฬา การทำงาน
การเงิน การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการสร้างผลงานที่
โดดเด่นเป็นเลิศ และอื่น ๆ
ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างสัก 2 เรื่อง พอสังเขปเท่านั้น
1. เคล็ดลับสำคัญเรื่องความเชื่อ
เมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถ ก็จะไม่มีความมั่นใจ
เมื่อไม่มีความมั่นใจ ก็อย่าหวังว่าจะมีพลังที่จะทำสิ่งใด
ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดความคิด ความรู้สึก การกระทำทุกอย่าง
ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน กำหนดการกิน การเดิน การนั่ง การใช้ชีวิต
การออกกำลังกายทุก ๆ อย่าง
หากต้องการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น มีอิสระทางการเงิน
มากขึ้น และมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น มีวิธีง่าย ๆ วิธีเดียว คือ ต้องเปลี่ยน
ความเชื่อ เมื่อคุณเปลี่ยนความเชื่อ คุณก็จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
นั่นเอง
ขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. ระบุให้ชัดว่า ความเชื่ออะไรที่จำกัดชีวิตคุณไว้ และคุณต้อง
การจะเปลี่ยน
2. ค้นหาความเชื่อในระดับจิตวิญญาณภายใน
3. จดบันทึกการเชื่อมโยงความเชื่อ
4. ระบุลักษณะความรู้สึกสงสัย
5. เปรียบเทียบความเชื่อกับความสงสัย
6. ทดสอบลักษณะภาพฉากต่อฉาก
7. ริเริ่มความเชื่อใหม่
8. ตรวจสอบความเชื่อ
สรุปขั้นตอนการเปลี่ยนความเชื่อ
1. แปลงความเชื่อเดิมที่ต้องการขจัดทิ้ง ให้กลายเป็นความสงสัย
2. ปลูกฝังความเชื่อใหม่ทับลงไปในความเชื่อเดิมทันที
3. ทำลายความเชื่อเดิม ขยายภาพความเชื่อใหม่
2 วิธีขจัดภาพฝังใจที่ไม่พึงประสงค์
คุณเคยเป็นเช่นนี้ไหม เรื่องเลวร้ายในอดีต หรือเรื่องเยี่ยมยอด
ที่จำฝังใจ
เรื่องเลวร้ายในอดีตแล้วนำกลับมาคิดซ้ำ ๆ แม้เวลาจะล่วงเลย
มานับสิบ ๆ ปี แล้วก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ เราไม่อยากจะคิดถึงมัน
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ เรายังไม่รู้จักวิธีการควบคุมระบบความคิด
นั่นเอง
ในทางกลับกัน เรารู้สึกถึงความเยี่ยมยอดของวันหยุดที่จะมาถึง
ในอีกไม่กี่วันนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวันนั้น แม้ว่าเมื่อถึงวันหยุดจริง ๆ
อาจจะไม่เยี่ยมยอดขนาดนั้นเลยก็ได้
แต่ละคนมักจะมีพฤติกรรมขัดแย้งกันเองโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถ
เปล่งศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในได้อย่างเต็มที่ บางครั้งร่างกายบาง
ส่วนไม่ตอบสนองเอาดื้อ ๆ เช่น คนกลัวพูดในที่ประชุม ทันทีที่
ยืนหน้าไมโครโฟน อาการขาสั่นมือไม้เกะกะจะเกิดขึ้นทันที ขณะที่
บางคนเปล่งเสียงแปลก ๆ จนขำตัวเอง ก็มีให้เห็น หรือแม้กระทั่ง
นักกีฬามืออาชีพที่ผ่านสนามมานักต่อนักแล้ว อยู่ ๆ เมื่อถึงวันแข่งขัน
จริง บางครั้งเกิดความเครียดหมดเรี่ยวแรงจนต้องถอนตัวไปก็มีให้
เห็นอยู่เสมอ ๆ
อาการทำนองนี้ นักประสาทวิทยาและนักพัฒนาศักยภาพบุคคลได้
ร่วมกันศึกษาวิจัยมาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ พบว่า ส่วนใหญ่เกิด
จากพฤติกรรมความกลัว หรือกังวล ที่แฝงอยู่ในระบบความคิดที่
ขัดแย้งกับสิ่งที่ต้องการทำ ภาพแห่งความกลัวหรือวิตกกังวลเหล่านั้น
ซุกซ่อนในจิตใต้สำนึกรอวันเปิดเผยออกมาเมื่อเวลาสุกงอม และ
เรามักไม่รู้ตัวล่วงหน้า
หรืออาจจะเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันเอง เช่น ต้องการ
อ่านหนังสือสอบ ต้องการสอบผ่าน หรือสอบให้ได้คะแนนดี แต่
ขณะเดียวกันในใจก็วางแผนการทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้โอกาสอ่าน
หนังสือลดน้อยลง หรือบางคนต้องการลดความอ้วน ขณะอยู่ใน
ขั้นตอนการลดอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกินอาหารเกินความต้องการ
ตามที่เคยปฏิบัติจนเป็นนิสัย เห็นได้ว่า แต่ละคนจะมีพฤติกรรม
ขัดแย้งกันเองตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมายเหล่านี้
เป็นภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกด้วยความเคยชิน และหลบ
ซ่อนอยู่ แม้ว่าบางคนจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ว่าจะไม่กลับไปมี
พฤติกรรมเช่นนั้นอีก แต่ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
วิธีทำลายภาพในใจที่ไม่พึงประสงค์
1. ตรวจสอบพฤติกรรม ระบุ และจำแนกให้เด่นชัดว่า อะไรคือ
พฤติกรรมที่ขัดแย้งกัน
2. สร้างภาพพฤติกรรมที่ขัดขวางเป้าหมาย และแต่งเติมภาพ
เป้าหมายหลักขึ้นในใจให้ชัดเจน
3. นำภาพในฝ่ามือทั้งสองข้างมารวมกัน
หากใครฝึกฝนจนชำนาญ สามารถขจัดอารมณ์ด้านลบทุก ๆ อย่าง
ให้หายไป ภายในเวลาไม่กี่วินาที
การค้นพบบางอย่างของศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์
ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตค้นคว้าเรื่องนี้
จนพบว่า มนุษย์มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างน่าอัศจรรย์
ไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด ไม่ขึ้นอยู่กับอายุ และสามารถเรียนรู้ได้
รวดเร็วอย่างน่ากลัว มีสิ่งที่พึงระวังคือ ความสามารถนี้ครอบคลุม
ถึงการเรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งไม่ดี
วิธีควบคุมสมองตนเอง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่น
วิธีควบคุมสมองตนเอง มีขั้นตอนง่าย ๆ คือ หากต้องการความ
สำเร็จด้านใดก็ตาม คุณจะต้องขัดจังหวะพฤติกรรมเดิม ๆ เปลี่ยน
รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันเสียใหม่ แล้วทำสิ่งที่คุณสนใจอย่าง
หมกมุ่น ทุ่มเท ทำอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนิ่ง ในที่สุดคุณจะสร้าง
ผลลัพธ์ที่โดดเด่นเหนือใคร ๆ นี่เป็นวิธีการแสนจะง่ายดาย
แต่ทรงพลัง
วิธีฝึกความจำสำหรับคนความจำแย่
ศาสตราจารย์ แบนด์เลอร์ เล่าให้ฟังว่า "หากคุณเป็นคนความจำ
แย่ หรือนึกอะไรไม่ค่อยออก คราวต่อไป หากต้องการจำสิ่งใด
ให้คิดถึงสิ่งนั้นแล้วตีกรอบไว้ด้วยเส้นหนาสีดำ ใช้เวลาสักสองสาม
วินาที นึกถึงเรื่องนั้นอยู่ในกรอบสีดำ แล้วจินตนาการว่า นำภาพ
ในกรอบสีดำนั้นไปใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วดึงภาพเข้า ๆ ออก ๆ
ทำซ้ำ ๆ สักห้าหรือหกครั้งในจินตนาการ ภายในเวลาเสี้ยววินาที
คุณก็จะจำสิ่งนั้นไม่มีวันลืม"
การปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่
คุณสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านใดก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน การเรียน สุขภาพ การเงิน และความ
สัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
ทั้งหมดนี้ คือการเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ความคิด และความจำ
โดยการปลูกฝังความเชื่อใหม่ สร้างกระบวนการคิดใหม่ และ
เรียนรู้ระบบความจำแบบใหม่ ด้วยการเข้าควบคุมสมองของ
คุณเอง
การควบคุมสมองจะทำให้คุณสามารถเป็นคนใหม่ได้ ด้วยวิธีการ
ง่าย ๆ เพียงแต่คุณเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด และการกระทำ
คุณก็จะเปลี่ยนทุกอย่างได้ แล้วคุณจะกลายเป็นคนมีพลังอย่าง
ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นที่ไม่คิดว่า
จะเป็นไปได้ มีชีวิตที่เหลือเชื่อ คุณจะสดใส มองเห็นอนาคต
ที่น่าตื่นเต้น มีคนรักมากขึ้น มีมิตรภาพที่ไม่มีวันหมดสิ้น แล้ว
ชีวิตก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ความเครียด
ความกลัว วิตกกังวล หดหู่ หรือเศร้าหมอง ก็จะอยู่ภายใต้
การควบคุมของคุณและสามารถขจัดมันออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
สรุป
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการแนะนำในเบื้องต้นเท่านั้นว่า NLP
เทคโนโลยีใหม่ทางจิตวิทยานี้คืออะไร และจะช่วยสร้างความ
สำเร็จได้อย่างไร และหากท่านสนใจ ขอเชิญศึกษาค้นคว้าต่อ
ทั้งหนังสือภาษาไทย และต่างประเทศ เช่น สืบค้นจาก
www.google.co.th ก็มีชาวต่างประเทศเขียนหนังสือตำราไว้
หลายเล่มด้วยกัน และยังมีบทเรียนในเรื่องนี้ให้ได้ศึกษาฟรีก็มี
ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปปฏิบัติให้ได้ผลดี เพื่อตัวท่านเอง
หรือบุตรหลานของท่านได้
บทความเสริมเกี่ยวกับ NLP ที่ควรทราบ
http://www.inboxstory.com/?p=222
------------
คัดย่อจาก : หนังสือ NLP ภาษา สมอง มหัศจรรย์ เทคโนโลยี
สร้างความสำเร็จชั่วข้ามคืน, วิศิษฐ์ ศรีพิบูลย์, สำนักพิมพ์ บานานา
สวีท, พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2551
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
10 ธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
10 ธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
31 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:13 น.
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต ระบุถึง 10 เทรนด์โลก 10 ธุรกิจที่จะได้รับผลดีจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่
เรื่อง...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
ในภาวะที่บ้านเมืองและเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เตรียมบอกตัวเองไว้แต่เนิ่นๆ ว่าชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปแน่ พร้อมกันนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจรับกระทบครั้งใหญ่ที่จะมาถึง ได้ยินมามากเรื่องการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่งถ้าทำได้จริงๆ มันก็ดี บางคนค้นพบตัวเองก็ตอนวิกฤตนี่แหละ จากที่เคยเป็นพนักงานกินเงินเดือน หันมาทำขนมปังหารายได้เสริม หลังๆ ต้องลาออกจากงานประจำ เนื่องจากลูกค้าเยอะแยะมากมาย สั่งขนมปังเสียจนทำขนมปังไม่ทัน นี่ไงตัวอย่างที่จับต้องได้ของโอกาสที่เกิดจากวิกฤต
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำขนมปังหรือจะทำมาหากินด้านใดดี มีรายงานข่าวจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต ระบุถึง 10 เทรนด์โลก 10 ธุรกิจที่จะได้รับผลดีจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ลองพิจารณาดูว่า คุณชอบ(ธุรกิจ)แบบไหน เพราะไหนๆ คนไทยทั้งประเทศก็ต้องตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เปลี่ยนทั้งที เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับเทรนด์โลก!พลิกธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
1.ไม่ธรรมดาและไม่เห็นแก่ได้ (Unusual And Good Corporate Governor) สินค้าและบริการของธุรกิจธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งปรับตัวตามความต้องการ (Preferences and Desire) ของผู้บริโภค มีความแปลกแตกต่าง (Diverse) มีความสับสนวุ่นวาย (Chaotic) และเป็นสังคมเครือข่าย (Network Society) ตัวอย่างธุรกิจไม่ธรรมดา เช่น Google, Amazons, Zappos, Wallmart Canada และธนาคาร CIBC เป็นต้น นอกจากนี้ต้องเป็นธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลที่ดี เป็นไปตามหลักสากล คือ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่ดี มีความโปร่งใสซื่อสัตย์ สื่อสารหลายทางในอันที่จะสะท้อนภาพลักษณ์ว่าไม่ละโมบ ไม่เห็นแก่ได้
2.ธุรกิจที่อิงความเป็นเมือง (Urbany) ภายในปี 2555 จะมีประชากร 63% ของประชากรโลก หรือ 3,300 ล้านคนอาศัยในเมืองใหญ่ และภายใน 40 ปีข้างหน้า (2593) ประชากรโลก 70% หรือ 6,400 ล้านคน จะอาศัยในเขตเมือง ผู้บริโภคที่เป็นคนเมืองเหล่านี้ต้องการสินค้าบริการที่มีรายละเอียดปลีกย่อย (Sophisticated) ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย (More Demanding) เป็นของแปลกใหม่ และสามารถซื้อขายผ่านเครือข่ายออนไลน์ได้
ในอนาคต เมืองหลายเมืองจะกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีแนวโน้มว่าสินค้าบริการหลายอย่างจะใช้ความเชื่อมโยงกับประเพณี ตราสัญลักษณ์ หรือวัฒนธรรมของเมือง เน้นความเป็นท้องถิ่น (Localization) เช่น เนื้อวัวจาก Ontario แบรนด์แฟชั่น DKNY ของนิวยอร์ก หรือเครื่อง ATM ของลอนดอนฝั่งตะวันออก ใช้สำเนียงเฉพาะถิ่น (Cockney) เป็นต้น
3.ธุรกิจเรียลไทม์ (Real-Time Reviews) สินค้าและบริการที่เปิดให้ติดต่อสื่อสารและตอบสนองความต้องการได้แบบเรียลไทม์ วางจำหน่ายแบบง่ายต่อการค้นหา-สั่งซื้อ-เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นในระหว่างกลุ่มเพื่อน (Peers) ที่มีขนาดใหญ่ (Mass) ในเวลาแบบเรียลไทม์ มีการชักชวนให้ซื้อผ่าน Social Media ได้แก่ Twitter Facebook และ Linkedln เชื่อมโยงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน
4.สินค้าและบริการที่มีความหลากหลายตรงความต้องการผู้บริโภค มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีวางจำหน่ายเฉพาะที่ (Fluxury/Fragmented Luxury/Limited Location) สินค้าและบริการนั้นจะมีคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างผสมผสานกัน นอกจากนี้ยังต้องวางจำหน่ายเฉพาะที่เฉพาะเมือง เช่น Bape บางรุ่นวางจำหน่ายเฉพาะที่เมือง Kagoshima ในฮาราจูกุ นาโกยา หรือน้ำหอม Le Labo Fragrances บางกลิ่นมีวางขายเฉพาะที่นิวยอร์ก แอลเอ และโตเกียวเท่านั้น
5.สินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการขนาดใหญ่บนโลกออนไลน์ (Mass Mingling) สืบเนื่องจากการที่ Social Media แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว เมื่อเร็วๆ นี้สถานีโทรทัศน์ UK Network ช่อง 4 ของอังกฤษ ประกาศเชิญชวนผู้คนให้ออกมาทำกิจกรรมและทานอาหารร่วมกัน คนมาร่วมงานจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการตระเตรียมอาหารและอุปกรณ์ให้เพียงพอ
6.สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Easy) จากแนวคิดทางรอดของโลก และการอนุรักษ์พลังงานที่จะเป็นกระแสคู่โลก ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงานและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับผลดี เช่น กรีนบิลดิง สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้ารีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ หรือที่ไม่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก
7.สินค้าและบริการที่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปและมีบริการเตือนแจ้งภัย (Tracking & Alerting) ผู้บริโภคสามารถตรวจที่มาและวงจรของสินค้าบริการจาก Tracking Number หรือ Code รวมทั้งทราบว่าใครเป็นผู้ใช้สินค้าและบริการนั่นด้วย ผู้ซื้อสามารถค้นข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างละเอียด เช่น Kogi Korean BBQ วางจำหน่ายบนรถบรรทุก ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้ว่ารถบรรทุกที่จำหน่ายขณะนี้อยู่ที่ใดบ้าง MediClim ที่ให้บริการผู้ป่วยโรคไขข้อ หอบหืด และโรคหัวใจ ให้บริการผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของร้านเพื่อเตือนคนไข้เรื่องอุณหภูมิและการกินยา
8.ธุรกิจที่อิงกับกระแสการเป็นผู้ให้ (Embeded Generosity) สินค้าและบริการที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คืนกำไรให้สังคม สร้างคุณค่าแบรนด์ด้วยการเป็นผู้ให้ หยิบยื่นโอกาสที่ดีกว่าแก่โลก เช่น Canadian Tire แจกคูปองให้ลูกค้านำไปบริจาคการกุศล Baby Teresa ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายเด็กที่บริจาคสินค้าของบริษัทให้ประเทศยากจน IKIA บริจาคเงินให้ยูนิเซฟ TOM Shoes บริจาครองเท้าให้เด็กทุกครั้งที่มีการขายเกิดขึ้น
9.สินค้าและบริการที่ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลลูกค้า (Profile Myning) ผู้บริโภคจะเลือกใช้สินค้าและบริการจากธุรกิจที่มีการเก็บรักษาข้อมูลลูกค้า มีการรักษาความปลอดภัย และการส่งผ่านข้อมูลของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ธนาคาร TD Canada และธนาคาร Swiss DNA Bank ซึ่งให้บริการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้บริการด้วยระบบ Reputation Defender และ ClaimID ให้บริการข้อมูลการสวอป (Swapp) หรือการใช้ข้อมูลร่วมกันกับเครือญาติ
10.สินค้าและบริการสำหรับผู้บริโภควัยผู้ใหญ่ที่ต้องการสิ่งแปลกใหม่ ท้าทายและร้อนแรง (Maturialism) เช่น อมยิ้มสำหรับผู้ใหญ่ เสื้อยืดสำหรับผู้หญิงผู้ชายที่สนับสนุนเพศที่ 3 ของ Legalize Gay ไอศกรีมรสชาติพรีเมียม X-rate Flavors วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าเฉพาะ อุปกรณ์นวดหรือของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ของ Phillips c]t เครื่องดื่ม Sorbets รสไวน์ผสมช็อกโกแลต เป็นต้น
http://www.posttoday.com/lifestyle/look-good/เทรนด์/31343/10-ธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
31 พฤษภาคม 2553 เวลา 13:13 น.
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต ระบุถึง 10 เทรนด์โลก 10 ธุรกิจที่จะได้รับผลดีจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่
เรื่อง...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์
ในภาวะที่บ้านเมืองและเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ เตรียมบอกตัวเองไว้แต่เนิ่นๆ ว่าชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปแน่ พร้อมกันนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจรับกระทบครั้งใหญ่ที่จะมาถึง ได้ยินมามากเรื่องการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ซึ่งถ้าทำได้จริงๆ มันก็ดี บางคนค้นพบตัวเองก็ตอนวิกฤตนี่แหละ จากที่เคยเป็นพนักงานกินเงินเดือน หันมาทำขนมปังหารายได้เสริม หลังๆ ต้องลาออกจากงานประจำ เนื่องจากลูกค้าเยอะแยะมากมาย สั่งขนมปังเสียจนทำขนมปังไม่ทัน นี่ไงตัวอย่างที่จับต้องได้ของโอกาสที่เกิดจากวิกฤต
สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำขนมปังหรือจะทำมาหากินด้านใดดี มีรายงานข่าวจากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต ระบุถึง 10 เทรนด์โลก 10 ธุรกิจที่จะได้รับผลดีจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยุคใหม่ ลองพิจารณาดูว่า คุณชอบ(ธุรกิจ)แบบไหน เพราะไหนๆ คนไทยทั้งประเทศก็ต้องตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว เปลี่ยนทั้งที เปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับเทรนด์โลก!พลิกธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
1.ไม่ธรรมดาและไม่เห็นแก่ได้ (Unusual And Good Corporate Governor) สินค้าและบริการของธุรกิจธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งปรับตัวตามความต้องการ (Preferences and Desire) ของผู้บริโภค มีความแปลกแตกต่าง (Diverse) มีความสับสนวุ่นวาย (Chaotic) และเป็นสังคมเครือข่าย (Network Society) ตัวอย่างธุรกิจไม่ธรรมดา เช่น Google, Amazons, Zappos, Wallmart Canada และธนาคาร CIBC เป็นต้น นอกจากนี้ต้องเป็นธุรกิจที่มีธรรมาภิบาลที่ดี เป็นไปตามหลักสากล คือ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมที่ดี มีความโปร่งใสซื่อสัตย์ สื่อสารหลายทางในอันที่จะสะท้อนภาพลักษณ์ว่าไม่ละโมบ ไม่เห็นแก่ได้
2.ธุรกิจที่อิงความเป็นเมือง (Urbany) ภายในปี 2555 จะมีประชากร 63% ของประชากรโลก หรือ 3,300 ล้านคนอาศัยในเมืองใหญ่ และภายใน 40 ปีข้างหน้า (2593) ประชากรโลก 70% หรือ 6,400 ล้านคน จะอาศัยในเขตเมือง ผู้บริโภคที่เป็นคนเมืองเหล่านี้ต้องการสินค้าบริการที่มีรายละเอียดปลีกย่อย (Sophisticated) ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย (More Demanding) เป็นของแปลกใหม่ และสามารถซื้อขายผ่านเครือข่ายออนไลน์ได้
ในอนาคต เมืองหลายเมืองจะกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ มีแนวโน้มว่าสินค้าบริการหลายอย่างจะใช้ความเชื่อมโยงกับประเพณี ตราสัญลักษณ์ หรือวัฒนธรรมของเมือง เน้นความเป็นท้องถิ่น (Localization) เช่น เนื้อวัวจาก Ontario แบรนด์แฟชั่น DKNY ของนิวยอร์ก หรือเครื่อง ATM ของลอนดอนฝั่งตะวันออก ใช้สำเนียงเฉพาะถิ่น (Cockney) เป็นต้น
3.ธุรกิจเรียลไทม์ (Real-Time Reviews) สินค้าและบริการที่เปิดให้ติดต่อสื่อสารและตอบสนองความต้องการได้แบบเรียลไทม์ วางจำหน่ายแบบง่ายต่อการค้นหา-สั่งซื้อ-เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นในระหว่างกลุ่มเพื่อน (Peers) ที่มีขนาดใหญ่ (Mass) ในเวลาแบบเรียลไทม์ มีการชักชวนให้ซื้อผ่าน Social Media ได้แก่ Twitter Facebook และ Linkedln เชื่อมโยงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายที่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน
4.สินค้าและบริการที่มีความหลากหลายตรงความต้องการผู้บริโภค มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีวางจำหน่ายเฉพาะที่ (Fluxury/Fragmented Luxury/Limited Location) สินค้าและบริการนั้นจะมีคุณลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างผสมผสานกัน นอกจากนี้ยังต้องวางจำหน่ายเฉพาะที่เฉพาะเมือง เช่น Bape บางรุ่นวางจำหน่ายเฉพาะที่เมือง Kagoshima ในฮาราจูกุ นาโกยา หรือน้ำหอม Le Labo Fragrances บางกลิ่นมีวางขายเฉพาะที่นิวยอร์ก แอลเอ และโตเกียวเท่านั้น
5.สินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการขนาดใหญ่บนโลกออนไลน์ (Mass Mingling) สืบเนื่องจากการที่ Social Media แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว เมื่อเร็วๆ นี้สถานีโทรทัศน์ UK Network ช่อง 4 ของอังกฤษ ประกาศเชิญชวนผู้คนให้ออกมาทำกิจกรรมและทานอาหารร่วมกัน คนมาร่วมงานจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการตระเตรียมอาหารและอุปกรณ์ให้เพียงพอ
6.สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Easy) จากแนวคิดทางรอดของโลก และการอนุรักษ์พลังงานที่จะเป็นกระแสคู่โลก ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงานและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับผลดี เช่น กรีนบิลดิง สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้ารีไซเคิล ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ หรือที่ไม่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก
7.สินค้าและบริการที่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปและมีบริการเตือนแจ้งภัย (Tracking & Alerting) ผู้บริโภคสามารถตรวจที่มาและวงจรของสินค้าบริการจาก Tracking Number หรือ Code รวมทั้งทราบว่าใครเป็นผู้ใช้สินค้าและบริการนั่นด้วย ผู้ซื้อสามารถค้นข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างละเอียด เช่น Kogi Korean BBQ วางจำหน่ายบนรถบรรทุก ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้ว่ารถบรรทุกที่จำหน่ายขณะนี้อยู่ที่ใดบ้าง MediClim ที่ให้บริการผู้ป่วยโรคไขข้อ หอบหืด และโรคหัวใจ ให้บริการผ่านทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของร้านเพื่อเตือนคนไข้เรื่องอุณหภูมิและการกินยา
8.ธุรกิจที่อิงกับกระแสการเป็นผู้ให้ (Embeded Generosity) สินค้าและบริการที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คืนกำไรให้สังคม สร้างคุณค่าแบรนด์ด้วยการเป็นผู้ให้ หยิบยื่นโอกาสที่ดีกว่าแก่โลก เช่น Canadian Tire แจกคูปองให้ลูกค้านำไปบริจาคการกุศล Baby Teresa ผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายเด็กที่บริจาคสินค้าของบริษัทให้ประเทศยากจน IKIA บริจาคเงินให้ยูนิเซฟ TOM Shoes บริจาครองเท้าให้เด็กทุกครั้งที่มีการขายเกิดขึ้น
9.สินค้าและบริการที่ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลลูกค้า (Profile Myning) ผู้บริโภคจะเลือกใช้สินค้าและบริการจากธุรกิจที่มีการเก็บรักษาข้อมูลลูกค้า มีการรักษาความปลอดภัย และการส่งผ่านข้อมูลของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ธนาคาร TD Canada และธนาคาร Swiss DNA Bank ซึ่งให้บริการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้บริการด้วยระบบ Reputation Defender และ ClaimID ให้บริการข้อมูลการสวอป (Swapp) หรือการใช้ข้อมูลร่วมกันกับเครือญาติ
10.สินค้าและบริการสำหรับผู้บริโภควัยผู้ใหญ่ที่ต้องการสิ่งแปลกใหม่ ท้าทายและร้อนแรง (Maturialism) เช่น อมยิ้มสำหรับผู้ใหญ่ เสื้อยืดสำหรับผู้หญิงผู้ชายที่สนับสนุนเพศที่ 3 ของ Legalize Gay ไอศกรีมรสชาติพรีเมียม X-rate Flavors วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าเฉพาะ อุปกรณ์นวดหรือของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ของ Phillips c]t เครื่องดื่ม Sorbets รสไวน์ผสมช็อกโกแลต เป็นต้น
http://www.posttoday.com/lifestyle/look-good/เทรนด์/31343/10-ธุรกิจยอดฮิตติดเทรนด์โลก
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
Pi
p -“พาย” อัศจรรย์การค้นหาตำแหน่งสุดท้ายร่วม 3,500 ปี
p - “พาย” เป็นค่าคงที่สำหรับหาความยาวเส้นรอบวงและพื้นที่วงกลม หรือในทางกลับกันเราหาค่าพายได้ด้วยอัตราส่วนของเส้นรอบวงต่อความยาวเส้นผ่านศูนย์กลาง ซึ่งควรจะได้ผลลัพธ์เป็น “ค่าคงที่” แต่ผ่านไปกว่า 3,500 ปี มนุษยชาติยังไม่อาจจุดสิ้นสุดทศนิยมของค่าพายได้ แม้ปัจจุบันเลขทศนิยมที่หาได้จะไปไกลถึงตำแหน่งที่ 2.7 ล้านล้านแล้วก็ตาม พายเป็นค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์ที่มีความสำคัญต่องานคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ หลายๆ สูตรในสาขาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมต่างมีค่าพายเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าวงกลมจะเล็กหรือใหญ่แต่อัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางจะได้ค่าคงที่เท่ากันเสมอ ค่าคงที่ดังกล่าวคือค่าพาย ทั้งนี้ พายคือจำนวนอตรรกยะ (Irrational number) ซึ่งจำนวนอตรรกยะเป็นจำนวนจริงประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถเขียนในรูปของเศษส่วน a/b ได้ เมื่อ a และ b เป็นจำนวนเต็ม โดย b ต้องไม่เป็น 0 และทศนิยมของจำนวนอตรรกยะสามารถเขียนได้ในรูปของทศนิยมไม่รู้จบหรือทศนิยมแบบไม่ซ้ำ และไม่มีการดำเนินการทางพีชคณิตกับตัวเลขจำนวนเต็มใดๆ ที่จะได้ค่าออกมาเท่ากับค่าพายที่แท้จริง ล่าตำแหน่งสุดท้ายของพาย อาร์คิมิดิส (Archimedes) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของคำอุทาน “ยูเรกา” อันเป็นตำนาน เสียชีวิตขณะพยายามหยุดทหารโรมันที่เข้าโจมตีไม่ให้ทำลายภาพวงกลม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการหาอัตราส่วนที่แท้จริงของวงกลม พร้อมคำพูดสุดท้ายว่า “อย่าทำลายวงกลมของข้า” แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้ว่าเขาตะโกนคำดังกล่าวออกมาจริงหรือไม่ หากแต่ผลงานที่แลกด้วยชีวิตนั้นกลับมีทศนิยมเพียงไม่กี่จำนวนที่ถูกต้อง แม้แต่นักฟิสิกส์อย่าง เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) ผู้มีบทบาทสำคัญต่อวิชาแคลคูลัสยังเป็นบุคคลหนึ่งที่พยายามค้นหาตัวเลขที่ใกล้เคียงกับค่าพาย แต่เขาสามารถหาทศนิยมที่ถูกต้องได้เพียง 15 ตำแหน่งเท่านั้น ความพยายามในการหาทศนิยมตัวสุดท้ายของค่าพายสืบทอดสู่นักคณิตศาสตร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า ลูดอล์ฟ ฟาน คอลเลน (Ludolph van Ceulen) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ใช้เวลาของชีวิตนานหลายปีทำงานที่บางคนมองว่าน่าเบื่อหน่าย เพื่อหาทศนิยมของค่าพาย และสุดท้ายได้ค่าพายที่ถูกต้องเพียง 35 ตำแหน่งเท่านั้น ถึงปี 1706 จอห์น มาชิน (John Machin) นักคณิตศาสตร์อังกฤษสามารถหาตำแหน่งที่ 100 ของค่าพายได้สำเร็จ แต่การหาทศนิยมสุดท้ายของค่าพายยังดำเนินต่อไป โดย วิลเลียม แชงก์ส (William Shanks) นักคณิตศาสตร์สมัครเล่นชาวอังกฤษ ได้หาตำแหน่งทศนิยมที่อ้างว่าหาได้จากการคำนวณด้วยมือถึง 707 ตำแหน่ง แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าหลังตำแหน่งที่ 527 เป็นตัวเลขที่ผิดพลาดทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 มาถึงยุคปัจจุบันการคำนวณหาค่าพายมีคอมพิวเตอร์และซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นผู้ช่วยสำคัญในการหาค่าพาย และนักคอมพิวเตอร์ผู้คิดค้นอัลกอลิทึมในการเขียนโปรแกรมคำนวณหาค่าพาย กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการหาตำแหน่งสุดท้ายของค่าคงที่แห่งวงกลมนี้ แม้ว่านักดาราศาสตร์ใช้ทศนิยมของค่าพายไม่เกิน 20 ตำแหน่ง เพื่อใช้ในงานด้านการค้นพบด้านดาราศาสตร์และทำความเข้าใจเอกภพ ล่าสุดการค้นหาค่าพายที่สร้างความฮือฮาที่สุดคงหนีไม่พ้นผลงานของ ฟาบรีซ แบลยาร์ (Fabrice Bellard) นักคอมพิวเตอร์ฝรั่งเศสจากสถาบันปารีสเทเลคอมเทค (Paris Telecom Tech) ผู้อาจหาญใช้คอมพิวเตอร์พีซีส่วนตัวเขียนโปรแกรมคำนวณหาค่าพายบนระบบปฏิบัติการลินุกซ์ “เรดแฮทเฟโดรา” (Red Hat Fedora) ซึ่งคำนวณค่าพายออกมาได้ 2.7 ล้านล้านตำแหน่ง เมื่อปลายปี 2009 ที่ผ่านมา ทำลายสถิติการคำนวณหาค่าพาย 2.6 ล้านล้านตำแหน่งที่อาศัยการทำงานของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีคนทำได้ก่อนหน้านั้น หากแต่แบลยาร์กลับให้ความสำคัญต่ออัลกอลิทึมที่เขาใช้เขียนโปรแกรมเพื่อหาค่าพาย มากกว่าสนใจตำแหน่งสุดท้ายของมัน โดยเขาใช้เวลาหาค่าพายทั้งสิ้น 131 วัน ทั้งนี้ แบลยาร์เป็นที่รู้จักในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (Open source) ซึ่งหลังจากสร้างสถิติโลกขึ้นมาใหม่ เขายังไม่มีแผนที่จะหาตำแหน่งทศนิยมของค่าพายเพิ่มในอนาคต แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะทำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจและความพร้อมของหน่วยเก็บข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นและเร็วขึ้น ตอนนี้เขามีแนวโน้มที่จะเผยแพร่ซอฟต์แวร์ในเวอร์ชันสำหรับระบบลินุกซ์และวินโดวส์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ที่สนใจสร้างสถิติใหม่แข่งกับเขา ท่องๆ ไปให้ถึงทศนิยมสุดท้ายของพาย นอกจากการแข่งขันเพื่อหาตำแหน่งทศนิยมที่มากที่สุดของค่าพายแล้ว ยังมีการแข่งขันท่องจำค่าพายซึ่งนักศึกษาปริญญาตรีชาวจีน ลู่ เชา (Lu Chao) ได้สร้างสถิติโลกเมื่อปี 2005 โดยใช้เวลา 1 ปีเพื่อท่องจำทศนิยมค่าพาย 100,000 ตำแหน่ง และสามารถท่องจำได้ 67,890 ตำแหน่ง ก่อนจะเริ่มท่องตำแหน่งที่เหลือผิด ซึ่งการแข่งขันครั้งนั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง แต่หากจะท่องจำทศนิยมค่าพายที่แบลยาร์คำนวณได้เพื่อสร้างสถิติโลก ต้องใช้เวลากว่า 1,284,000 ปีเลยทีเดียว ถัดมาในปี 2006 อากิระ ฮารากูจิ (Akira Haraguchi) วิศวกรวัยเกษียณชาวญี่ปุ่นท่องค่าพายได้ถึง 100,000 ตำแหน่ง และมีการบันทึกวิดีโอการทำลายสถิติดังกล่าวไว้ด้วย โดยเขาใช้เวลาในการท่องจำตัวทั้งหมด 16 ชั่วโมง และยังเป็นการท่องที่ทำลายสถิติตัวเองที่เคยทำไว้ได้ 83,431 ตำแหน่ง หากแต่สถิติที่ทำได้นั้นยังไม่ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์เวิรลด์เรคอร์ดส (Guinness World Records) “พาย” นอกตำราคณิตศาสตร์ พายปรากฏอยู่ในทุกแห่ง ทางคณิตศาสตร์พายปรากฏตัวในสมการพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับวงกลม ในทางวิทยาศาสตร์พายคือสิ่งที่แยกไม่ออกจากการคำนวณในทุกสิ่งตั้งแต่คลื่นมหาสมุทรไปจนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เรายังพบพายในในการวัดมหาพีระมิดกิซา (Giza) อันยิ่งใหญ่ แม้แต่ในพระคัมภีร์ศาสนาคริสต์ยังมีผู้รู้ระบุว่า มีนัยว่าค่าพายเท่ากับ 3 ของการวัดวิหารโซโลมอน ในวงการบันเทิงเองยังมีพายเป็นวัตถุดิบสู่การดำเนินเรื่องของนิยายไซไฟ อย่างเรื่อง “คอนแท็กต์” (Contact) ใช้ค่าพายซ่อนสาส์นสำคัญจากผู้สร้างเอกภพ หรือนักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมอย่าง วิสลาวา ซิมบอร์สกา (Wislava Szymborska) ได้เขียนบทกวีเกี่ยวกับพาย แม้แต่นักร้องเพลงป็อปอย่าง เคท บุช (Kate Bush) ยังมีเพลงชื่อ "พาย" ที่เธอขับร้องค่าพายถึง 100 ตำแหน่งในอัลบั้ม "แอเรียล" (Aerial) 14 มี.ค. ฉลอง “วันพาย” วันที่ 14 มี.ค.ถือเป็นวันสำคัญสำหรับคนรักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะผู้หลงใหลในค่าพาย เพราะวันดังกล่าวถือเป็น “วันพาย” (Pi Day) ทั้งนี้หากนับวันเวลาในรูปแบบ เดือน/วัน/ปี แล้ว จะเขียนตัวเลขแทนวันดังกล่าวได้เป็น 3/14 ซึ่งตรงกับ 3 ตัวแรกของค่าพาย ผู้ริเริ่มการฉลองวันพายคนแรกคือ ลาร์รี ชอว์ (Larry Shaw) นักฟิสิกส์จากพิพิธภัณฑ์สำรวจซานฟรานซิสโก (San Francisco Exploratorium) สหรัฐฯ ที่ได้ฉลองวันพายตั้งแต่ปี 1988 และในวันนั้นมีการเดินขบวนภายในพื้นที่วงกลมของพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งฉลองด้วยการกินขนมพายผลไม้ แม้ทุกวันนี้ชอว์จะเกษียณการทำงานแล้วก็ตาม แต่เขายังคงติดตามการฉลองวันพายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทศนิยม 7 ตำแหน่งแรกของพายคือ 3.1415926... ดังนั้นการฉลองวันพายมักถือฤกษ์เวลา 13:59:26 น. ที่เรียกว่า “วินาทีพาย” (pi second) ซึ่งเขียนในรูป am/pm ได้เป็น 1:59:26 pm หากแต่พิเศษสำหรับปี 2015 ซึ่งในปีนั้นวันพายจะตรงกับ 3/14/15 (ด/ว/ป) และการฉลองจะเริ่มในวินาทีพายที่ตรงกับ 09:26:53 น. เนื่องจากทศนิยมของค่าพาย 9 ตำแหน่งเขียนได้เป็น 3.141592653... อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายวันที่สามารถร่วมฉลองวันพายและวันประมาณค่าพายได้ และสำหรับตัวเลขประมาณค่าพายซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ 22/7 จึงมีวันประมาณค่าพายตรงกับวันที่ 22 ก.ค. ซ่งเหมาะกับประเทศที่มีรูปแบบวันเวลา ว/ด/ป ซึ่งไม่มีวันที่ 31 เม.ย.ให้ฉลองในรูป 31/4 ได้ สำหรับการฉลองวันพายมีอยู่หลากหลายวิธี แต่ที่นิยมมากคือการฉลองด้วยขนมพายในถาดวงกลม เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างค่าพายกับวงกลม บางคำแนะนำเสนอว่าในวันนั้นควรแต่งกายด้วยเครื่องประดับทรงกลมและสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ของพาย และบางคำแนะนำเสนอให้ท่องค่าพายในวันฉลอง วันนี้ทศนิยมของค่าพายวิ่งไปถึงตำแหน่งที่ล้านล้านและยังไม่มีทีท่าว่าตำแหน่งสุดท้ายของค่าพายจะหยุดอยู่ที่ใด หากแต่ระหว่างทางของการค้นหาที่ไม่จบสิ้นเสียทีนี้ได้ก่อเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่นำไปต่อยอดสู่วงการอื่นๆ ได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 มีนาคม 2553 11:49 น.
p - “พาย” เป็นค่าคงที่สำหรับหาความยาวเส้นรอบวงและพื้นที่วงกลม หรือในทางกลับกันเราหาค่าพายได้ด้วยอัตราส่วนของเส้นรอบวงต่อความยาวเส้นผ่านศูนย์กลาง ซึ่งควรจะได้ผลลัพธ์เป็น “ค่าคงที่” แต่ผ่านไปกว่า 3,500 ปี มนุษยชาติยังไม่อาจจุดสิ้นสุดทศนิยมของค่าพายได้ แม้ปัจจุบันเลขทศนิยมที่หาได้จะไปไกลถึงตำแหน่งที่ 2.7 ล้านล้านแล้วก็ตาม พายเป็นค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์ที่มีความสำคัญต่องานคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ หลายๆ สูตรในสาขาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมต่างมีค่าพายเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าวงกลมจะเล็กหรือใหญ่แต่อัตราส่วนระหว่างเส้นรอบวงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางจะได้ค่าคงที่เท่ากันเสมอ ค่าคงที่ดังกล่าวคือค่าพาย ทั้งนี้ พายคือจำนวนอตรรกยะ (Irrational number) ซึ่งจำนวนอตรรกยะเป็นจำนวนจริงประเภทหนึ่งที่ไม่สามารถเขียนในรูปของเศษส่วน a/b ได้ เมื่อ a และ b เป็นจำนวนเต็ม โดย b ต้องไม่เป็น 0 และทศนิยมของจำนวนอตรรกยะสามารถเขียนได้ในรูปของทศนิยมไม่รู้จบหรือทศนิยมแบบไม่ซ้ำ และไม่มีการดำเนินการทางพีชคณิตกับตัวเลขจำนวนเต็มใดๆ ที่จะได้ค่าออกมาเท่ากับค่าพายที่แท้จริง ล่าตำแหน่งสุดท้ายของพาย อาร์คิมิดิส (Archimedes) นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของคำอุทาน “ยูเรกา” อันเป็นตำนาน เสียชีวิตขณะพยายามหยุดทหารโรมันที่เข้าโจมตีไม่ให้ทำลายภาพวงกลม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการหาอัตราส่วนที่แท้จริงของวงกลม พร้อมคำพูดสุดท้ายว่า “อย่าทำลายวงกลมของข้า” แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่เชื่อถือได้ว่าเขาตะโกนคำดังกล่าวออกมาจริงหรือไม่ หากแต่ผลงานที่แลกด้วยชีวิตนั้นกลับมีทศนิยมเพียงไม่กี่จำนวนที่ถูกต้อง แม้แต่นักฟิสิกส์อย่าง เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) ผู้มีบทบาทสำคัญต่อวิชาแคลคูลัสยังเป็นบุคคลหนึ่งที่พยายามค้นหาตัวเลขที่ใกล้เคียงกับค่าพาย แต่เขาสามารถหาทศนิยมที่ถูกต้องได้เพียง 15 ตำแหน่งเท่านั้น ความพยายามในการหาทศนิยมตัวสุดท้ายของค่าพายสืบทอดสู่นักคณิตศาสตร์รุ่นแล้วรุ่นเล่า ลูดอล์ฟ ฟาน คอลเลน (Ludolph van Ceulen) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ใช้เวลาของชีวิตนานหลายปีทำงานที่บางคนมองว่าน่าเบื่อหน่าย เพื่อหาทศนิยมของค่าพาย และสุดท้ายได้ค่าพายที่ถูกต้องเพียง 35 ตำแหน่งเท่านั้น ถึงปี 1706 จอห์น มาชิน (John Machin) นักคณิตศาสตร์อังกฤษสามารถหาตำแหน่งที่ 100 ของค่าพายได้สำเร็จ แต่การหาทศนิยมสุดท้ายของค่าพายยังดำเนินต่อไป โดย วิลเลียม แชงก์ส (William Shanks) นักคณิตศาสตร์สมัครเล่นชาวอังกฤษ ได้หาตำแหน่งทศนิยมที่อ้างว่าหาได้จากการคำนวณด้วยมือถึง 707 ตำแหน่ง แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าหลังตำแหน่งที่ 527 เป็นตัวเลขที่ผิดพลาดทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 มาถึงยุคปัจจุบันการคำนวณหาค่าพายมีคอมพิวเตอร์และซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นผู้ช่วยสำคัญในการหาค่าพาย และนักคอมพิวเตอร์ผู้คิดค้นอัลกอลิทึมในการเขียนโปรแกรมคำนวณหาค่าพาย กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการหาตำแหน่งสุดท้ายของค่าคงที่แห่งวงกลมนี้ แม้ว่านักดาราศาสตร์ใช้ทศนิยมของค่าพายไม่เกิน 20 ตำแหน่ง เพื่อใช้ในงานด้านการค้นพบด้านดาราศาสตร์และทำความเข้าใจเอกภพ ล่าสุดการค้นหาค่าพายที่สร้างความฮือฮาที่สุดคงหนีไม่พ้นผลงานของ ฟาบรีซ แบลยาร์ (Fabrice Bellard) นักคอมพิวเตอร์ฝรั่งเศสจากสถาบันปารีสเทเลคอมเทค (Paris Telecom Tech) ผู้อาจหาญใช้คอมพิวเตอร์พีซีส่วนตัวเขียนโปรแกรมคำนวณหาค่าพายบนระบบปฏิบัติการลินุกซ์ “เรดแฮทเฟโดรา” (Red Hat Fedora) ซึ่งคำนวณค่าพายออกมาได้ 2.7 ล้านล้านตำแหน่ง เมื่อปลายปี 2009 ที่ผ่านมา ทำลายสถิติการคำนวณหาค่าพาย 2.6 ล้านล้านตำแหน่งที่อาศัยการทำงานของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีคนทำได้ก่อนหน้านั้น หากแต่แบลยาร์กลับให้ความสำคัญต่ออัลกอลิทึมที่เขาใช้เขียนโปรแกรมเพื่อหาค่าพาย มากกว่าสนใจตำแหน่งสุดท้ายของมัน โดยเขาใช้เวลาหาค่าพายทั้งสิ้น 131 วัน ทั้งนี้ แบลยาร์เป็นที่รู้จักในฐานะนักพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส (Open source) ซึ่งหลังจากสร้างสถิติโลกขึ้นมาใหม่ เขายังไม่มีแผนที่จะหาตำแหน่งทศนิยมของค่าพายเพิ่มในอนาคต แต่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะทำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจและความพร้อมของหน่วยเก็บข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นและเร็วขึ้น ตอนนี้เขามีแนวโน้มที่จะเผยแพร่ซอฟต์แวร์ในเวอร์ชันสำหรับระบบลินุกซ์และวินโดวส์ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ที่สนใจสร้างสถิติใหม่แข่งกับเขา ท่องๆ ไปให้ถึงทศนิยมสุดท้ายของพาย นอกจากการแข่งขันเพื่อหาตำแหน่งทศนิยมที่มากที่สุดของค่าพายแล้ว ยังมีการแข่งขันท่องจำค่าพายซึ่งนักศึกษาปริญญาตรีชาวจีน ลู่ เชา (Lu Chao) ได้สร้างสถิติโลกเมื่อปี 2005 โดยใช้เวลา 1 ปีเพื่อท่องจำทศนิยมค่าพาย 100,000 ตำแหน่ง และสามารถท่องจำได้ 67,890 ตำแหน่ง ก่อนจะเริ่มท่องตำแหน่งที่เหลือผิด ซึ่งการแข่งขันครั้งนั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง แต่หากจะท่องจำทศนิยมค่าพายที่แบลยาร์คำนวณได้เพื่อสร้างสถิติโลก ต้องใช้เวลากว่า 1,284,000 ปีเลยทีเดียว ถัดมาในปี 2006 อากิระ ฮารากูจิ (Akira Haraguchi) วิศวกรวัยเกษียณชาวญี่ปุ่นท่องค่าพายได้ถึง 100,000 ตำแหน่ง และมีการบันทึกวิดีโอการทำลายสถิติดังกล่าวไว้ด้วย โดยเขาใช้เวลาในการท่องจำตัวทั้งหมด 16 ชั่วโมง และยังเป็นการท่องที่ทำลายสถิติตัวเองที่เคยทำไว้ได้ 83,431 ตำแหน่ง หากแต่สถิติที่ทำได้นั้นยังไม่ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์เวิรลด์เรคอร์ดส (Guinness World Records) “พาย” นอกตำราคณิตศาสตร์ พายปรากฏอยู่ในทุกแห่ง ทางคณิตศาสตร์พายปรากฏตัวในสมการพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับวงกลม ในทางวิทยาศาสตร์พายคือสิ่งที่แยกไม่ออกจากการคำนวณในทุกสิ่งตั้งแต่คลื่นมหาสมุทรไปจนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เรายังพบพายในในการวัดมหาพีระมิดกิซา (Giza) อันยิ่งใหญ่ แม้แต่ในพระคัมภีร์ศาสนาคริสต์ยังมีผู้รู้ระบุว่า มีนัยว่าค่าพายเท่ากับ 3 ของการวัดวิหารโซโลมอน ในวงการบันเทิงเองยังมีพายเป็นวัตถุดิบสู่การดำเนินเรื่องของนิยายไซไฟ อย่างเรื่อง “คอนแท็กต์” (Contact) ใช้ค่าพายซ่อนสาส์นสำคัญจากผู้สร้างเอกภพ หรือนักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมอย่าง วิสลาวา ซิมบอร์สกา (Wislava Szymborska) ได้เขียนบทกวีเกี่ยวกับพาย แม้แต่นักร้องเพลงป็อปอย่าง เคท บุช (Kate Bush) ยังมีเพลงชื่อ "พาย" ที่เธอขับร้องค่าพายถึง 100 ตำแหน่งในอัลบั้ม "แอเรียล" (Aerial) 14 มี.ค. ฉลอง “วันพาย” วันที่ 14 มี.ค.ถือเป็นวันสำคัญสำหรับคนรักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะผู้หลงใหลในค่าพาย เพราะวันดังกล่าวถือเป็น “วันพาย” (Pi Day) ทั้งนี้หากนับวันเวลาในรูปแบบ เดือน/วัน/ปี แล้ว จะเขียนตัวเลขแทนวันดังกล่าวได้เป็น 3/14 ซึ่งตรงกับ 3 ตัวแรกของค่าพาย ผู้ริเริ่มการฉลองวันพายคนแรกคือ ลาร์รี ชอว์ (Larry Shaw) นักฟิสิกส์จากพิพิธภัณฑ์สำรวจซานฟรานซิสโก (San Francisco Exploratorium) สหรัฐฯ ที่ได้ฉลองวันพายตั้งแต่ปี 1988 และในวันนั้นมีการเดินขบวนภายในพื้นที่วงกลมของพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งฉลองด้วยการกินขนมพายผลไม้ แม้ทุกวันนี้ชอว์จะเกษียณการทำงานแล้วก็ตาม แต่เขายังคงติดตามการฉลองวันพายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทศนิยม 7 ตำแหน่งแรกของพายคือ 3.1415926... ดังนั้นการฉลองวันพายมักถือฤกษ์เวลา 13:59:26 น. ที่เรียกว่า “วินาทีพาย” (pi second) ซึ่งเขียนในรูป am/pm ได้เป็น 1:59:26 pm หากแต่พิเศษสำหรับปี 2015 ซึ่งในปีนั้นวันพายจะตรงกับ 3/14/15 (ด/ว/ป) และการฉลองจะเริ่มในวินาทีพายที่ตรงกับ 09:26:53 น. เนื่องจากทศนิยมของค่าพาย 9 ตำแหน่งเขียนได้เป็น 3.141592653... อย่างไรก็ดี ยังมีอีกหลายวันที่สามารถร่วมฉลองวันพายและวันประมาณค่าพายได้ และสำหรับตัวเลขประมาณค่าพายซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ 22/7 จึงมีวันประมาณค่าพายตรงกับวันที่ 22 ก.ค. ซ่งเหมาะกับประเทศที่มีรูปแบบวันเวลา ว/ด/ป ซึ่งไม่มีวันที่ 31 เม.ย.ให้ฉลองในรูป 31/4 ได้ สำหรับการฉลองวันพายมีอยู่หลากหลายวิธี แต่ที่นิยมมากคือการฉลองด้วยขนมพายในถาดวงกลม เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างค่าพายกับวงกลม บางคำแนะนำเสนอว่าในวันนั้นควรแต่งกายด้วยเครื่องประดับทรงกลมและสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ของพาย และบางคำแนะนำเสนอให้ท่องค่าพายในวันฉลอง วันนี้ทศนิยมของค่าพายวิ่งไปถึงตำแหน่งที่ล้านล้านและยังไม่มีทีท่าว่าตำแหน่งสุดท้ายของค่าพายจะหยุดอยู่ที่ใด หากแต่ระหว่างทางของการค้นหาที่ไม่จบสิ้นเสียทีนี้ได้ก่อเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่นำไปต่อยอดสู่วงการอื่นๆ ได้
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
12 มีนาคม 2553 11:49 น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)