วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนหุ้น VI
ประวัติ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนหุ้น VI ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่าง ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม และไม่ฟุ้งเฟ้อ
คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก ...
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีชื่อเต็มว่า วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 1930 (ค.ศ. 1930) ที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา พ่อของเขาชื่อโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ เป็นวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน และยังเป็น Stock Broker อีกด้วย ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่าไลล่า บัฟเฟตต์ เขามีพี่น้องอยู่ 2 คน คือดอริส และเบอร์ตี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหมกมุ่นกับตัวเลขตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความจำอันดีเลิศ เขาสามารถจดจำจำนวนประชากรของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้อย่างมากมาย
ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาได้จ่ายเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคา กระป๋องละ หนึ่งเหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาทำหน้าที่เป็นเด็กจดกระดานในบริษัทหุ้นของพ่อของเขา และในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินอันน้อยนิด เขาสามารถซื้อได้แค่ 3 หุ้น หุ้น Cities Service Preferred ในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ นั่นเป็นการทำกำไรครั้งแรกในชีวิต ของเขา ได้มาเน็ต ๆ แค่ 5 เหรียญ หลังจากนั้นต่อมาไม่ทราบว่าใช้เวลานานนานเท่าไร หุ้นนั้นทะยานไปถึงหุ้นละ 200 เหรียญ
นอกจากการเล่นหุ้นแล้ว เขายังทำงานพิเศษอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเร่ขายของเคาะประตูตามบ้าน ส่งหนังสือพิมพ์ จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาสามารถเก็บหอมรอมริบได้ เงินจำนวนถึง 1200 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียวในสมัยนั้น และเขาได้ทำเงินก้อนนี้ไปซื้อที่ดินราว ๆ 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร
ต่อมาเขาได้เข้าเรียนระดับมัธยมที่ Woodrow Wilson High School ในกรุงวอชิงตันดีซี และเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยการเงินวอร์ตัน ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ระหว่างปี 1947 – 1949 แต่จากนั้นก็ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้มีความสนใจด้านการลงทุนเพราะได้แรงบันดาลใจจากการ อ่านหนังสือของ Benjamin Graham ที่มีชื่อว่า The Intelligent Investor หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์ของ value investors และเขาก็ได้รับความรู้มากมายจากหนังสือเล่มนี้
เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และได้เรียนหนังสือกับปรมาจารย์ในใจเขาคือ Benjamin Graham และเขาได้รับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1951
หลังจากเรียนจบ เขาก็กลับบ้านเกิดและเข้าทำงานเป็นเซลล์แมนในบริษัทของพ่อตัวเอง ระหว่างปี 1951 – 1954 พอมาปี 1954 – 1956 เขาก็ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัท Graham-Newman Corp. ที่กรุงนิวยอร์ก
ในปี 1957 เขากลับมาถิ่นเกิดอีกครั้ง และเริ่มก่อตั้งบริษัทลงทุนที่มีชื่อว่า Buffett Partnership, Ltd. มีนักธุรกิจมากมายใส่เงินร่วมทุน จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการเอาชนะดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเขาก็ทำได้ผลในปี 1969 อัตรากำไรที่บริษัทเขาทำได้นั้นสูงถึง 29.5 % เปรียบเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ แค่ 7.4 % เท่านั้น
ในปี 1962 เขาได้เข้าไปซื้อกิจการของบริษัทสิ่งทอ Berkshire Hathaway ในราคาไม่ถึง 8 เหรียญต่อหุ้น เขาได้ขายโรงทอผ้าทิ้งไป แปลงโฉมบริษัทเป็น Holding Company และนี่เองที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบริษัทที่ต่อมายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่งงานกับ ซูซาน ทอมป์สันในปี ค.ศ. 1952 และมีลูก 3 คน คือซูซี่ โฮเวิร์ด และปีเตอร์ แต่ชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 1977 โดยที่ไม่มีการหย่าร้าง และภรรยาของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2004
ชีวิตส่วนตัวของเขาเรียบง่ายและสมถะมาก เขายังคงขับรถเก่าๆ ไปทำงาน บ้านที่อยู่ก็บ้านเก่า และเขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมในเมืองโอมาฮา เนบราสกา ซึ่งเป็นบ้านที่เขาซื้อมาด้วยราคา 31,500 เหรียญ เมื่อปี ค.ศ. 1958 หรือตั้งแต่ 49 ปีที่แล้ว อาหารที่กินประจำยังเป็นแมคโดนัลด์กับโค้ก ซึ่งเขากินวันละหลายๆ กระป๋องประมาณ 15 กระป๋องต่อวัน เนื่องจากเป็นสินค้าของกิจการที่เขาลงทุนอยู่ มูลค่าหุ้นของเขาเป็นล้านล้านบาท แต่เขากลับจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองเพียงปีละ 1-2 แสนดอลลาร์เท่านั้นเอง และไม่เคยขายหุ้นของตัวเองเลยตลอดชีวิต เขาขับรถเก่ายี่ห้อ Lincoln Town ไปทำงานเอง ไม่มีเลขาหน้าห้อง บนโต๊ะทำงานไม่เคยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ดูราคาหุ้น ชอบใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก และยังชอบเล่นไพ่บริดจ์กับบิลล์ เกตส์ อยู่เสมอๆ
เงินที่เขาหาได้ เขาเอามาใช้น้อยมาก ความสุขของเขาอยู่ที่การลงทุน เขาไม่ต้องการเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่ให้ผลตอบแทนหรือให้ผลตอบแทนน้อย เขาคิดว่าเงินถ้าอยู่กับเขาแล้วจะโตเร็วมากและมีประโยชน์กว่า เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากนัก แต่ในที่สุดเขาก็บริจาคเงินให้กับมูลนิธิบิล –มิรินดา เกตส์เพื่อนของเขา เขาถือเป็นแบบอย่างของคนที่รู้จักความพอดีในการใช้ชีวิต รู้และสำนึกได้ด้วยตัวเองว่า จุดความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่ที่จะปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง
ความร่ำรวยส่วนใหญ่ของเขานั้นสั่งสมในบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทเวย์ ซึ่งมีผลกำไรหลากหลายนับจากธุรกิจการประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและการเช่าเครื่องบิน และบริษัทเบอร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของเขาไม่มีสินค้าอะไรเลย ไม่มีการขายสินค้า ไม่มีการผลิตการบริการใดๆ รายได้จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งหมดมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับฉายาว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก เขาสามารถเพิ่มราคาหุ้นกองทุน Berkshire ของเขาถึง 3600 เท่า และเน้นย้ำเฉพาะการลงทุนแบบ Value Investor เท่านั้น
หุ้นของเบอร์กไชร์นั้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่แปลกประหลาด นอกจากไม่มีการผลิตสินค้าและบริการใดๆ เลย ซื้อขายหุ้นอย่างเดียว ยังเป็นหุ้นที่ไม่เคยมีการจ่ายปันผลมาหลายสิบปี ทั้งๆ ที่มีกำไรมหาศาลทุกปี ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นของเบอร์กไชร์ทะลุหลักล้านบาทไปแล้ว คนที่ถือหุ้นบริษัทเขาตั้งแต่วันแรก ก็ยังถือมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเชื่อในตัวบัฟเฟตต์มากๆ หุ้นบริษัทเขาจึงมีสภาพคล่องต่ำมาก ซึ่งเป็นผลดีกับกิจการ เนื่องจากจะไม่มีคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันมาป่วนราคา บริษัทของเขาจะเลือกลงทุนในหุ้นในกิจการที่เยี่ยมยอดเพียงไม่กี่ตัว โดยซื้อเมื่อตอนราคาถูกและยุติธรรม แล้วเก็บไว้ให้นานที่สุด หรือเก็บไปตลอดชีวิตเลย
สำหรับพอร์ทการลงทุนของเขาจะมีแต่กิจการที่ดีของโลก เช่น บริษัทโค้ก ยิลเลท ดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น หุ้นที่เขาจะซื้อ จะต้องมีพื้นฐานกิจการที่ดี และเขาจะต้องรู้จักและเข้าใจว่ากิจการสามารถสร้างรายได้มาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หุ้นกลุ่มไฮเทค จะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย แม้แต่ไมโครซอฟต์ เพราะเขาบอกว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ซื้อหุ้นบริษัทนั้น ซึ่งหุ้นไฮเทคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก จึงไม่อยู่ในข่ายลงทุน
สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดถือในการลงทุน นอกจากคุณค่าของกิจการแล้วคือ ผู้บริหารต้องมีความซื่อสัตย์ ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นหลัก ฉะนั้นการบริหารงานของบัฟเฟตต์จึงทำอย่างโปร่งใส และยึดถือประโยชน์ของทุกคนเป็นที่ตั้ง เขาไม่เคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการบริจาคเงินของบริษัท
หลักการเลือกลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์:
1. เป็นธุรกิจหรือบริษัทที่ไม่ซับซ้อน กิจการประเภทง่ายๆ ไม่วุ่นวายนี้ จะสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้เทคนิคบุคคลากรพิเศษมากมายนัก
2. เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมแข็งแกร่ง เช่นมียี่ห้อหรือตราสินค้าที่แข็งแกร่ง มีการบริการเป็นพิเศษที่หาจากที่อื่นไม่ได้
3. สามารถคาดเดาได้ คือสามารถคาดเดาผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากการที่ไม่ซับซ้อนของธุรกิจนี่เอง
4. ผลตอบแทนจากส่วนของเงินลงทุนสูง (ROE) อย่างน้อย 12 %
5. มีกระแสเงินสดที่ดี
6. มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ธุรกิจที่ดี มีธรรมชาติของธุรกิจที่ดี
จากการศึกษาวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจ 5 กลุ่มด้วยกัน คือ
1) ธุรกิจเครื่องดื่ม เช่น โค้ก
2) กลุ่มการเงินที่เกี่ยวกับรายย่อย เช่น บริษัทอเมริกันเอ็กเพรส
3) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
4) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารของแคลิฟอร์เนีย
5) หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
กรณีหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วอร์เรน บัฟเฟต เข้าลงทุนเมื่อ 1974 จำนวน 11 ล้านเหรียญสหรัฐ 30 ปีผ่านไปได้ผลตอบแทน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 15% ที่ผ่านมาเขามีหนังสือออกมาสามเล่มด้วยกัน คือ 101 เหตุผลที่คุณจะเป็นเจ้าของกิจการ เล่มที่ 2 ชื่อ บัฟเฟตต์ ซีอีโอ แต่ด้วยเนื้อหาที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มขึ้น ทำให้ ต้องมีเล่มที่สาม ซึ่งใช้ชื่อว่า “WARREN BUFFETT WEALTH” หรือ วอร์เรน บัฟเฟต ผู้มั่งคั่ง สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 นี้จะใช้ภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น มีการยกตัวอย่างประกอบ ซึ่งเนื้อหาได้มาจากการศึกษาเกี่ยวกับนายวอร์เรน บัฟเฟต และบริษัทของเขา ตลอดจนได้มีการสอบถามจากผู้ใกล้ชิดของเขา และล่าสุดชื่อ The New Buffetology ซึ่งมีชื่อเป็นไทยว่า ลงทุนอย่าง...วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งรายละเอียดในหนังสือนั้นที่สำคัญคือ The Warren Buffett Way ที่เป็นเหมือนกลยุทธ์การลงทุนพื้นฐานสไตล์บัฟเฟตต์
อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวที่สร้างความโด่งดังให้แก่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มากที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขายกทรัพย์สินถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญ ให้แก่มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยสองสามีภรรยาเกตส์เพื่อนเก่าแก่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังผลให้มูลนิธินี้กลายเป็นมูลนิธิที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นับว่าเป็นการรวมตัวทางการเงินเพื่อทำการกุศลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ บิล เกตส์ และเมอลินดา ภริยา บอกว่า มูลนิธิหวังจะใช้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไปใช้วิจัยหาวัคซีนสยบโรคเอดส์ ร่วมกับอีก 20 โรคร้ายแรง ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละไม่รู้กี่ล้าน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มียารักษา
เงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินบริจาคที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกที่เคยมีมา เงินนี้วอร์เรน บัฟเฟตต์หามาเองเกือบทั้งสิ้นตลอดชีวิตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดใน โลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่าง ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม และไม่ฟุ้งเฟ้อ เขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มานั้น เขาต้องการที่จะทำในสิ่งที่มีประโยชน์และทำให้เขารู้สึกภูมิใจ และเขายังคาดหวังว่า การตัดสินใจบริจาคทรัพย์สมบัติครั้งนี้ จะเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายให้ทำบุญสร้างกุศล โดยการบริจาคให้มูลนิธิต่าง ๆ ที่มีอยู่ โดยไม่ต้องแข่งกันตั้งมูลนิธิขึ้นมาใหม่ ส่วนการที่เขาบริจาคให้กับมูลนิธิของบิล เกตส์ เพราะเชื่อมั่นในนโยบายช่วยเหลือคนด้อยโอกาสจริง ๆ
บัฟเฟตต์พูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากเขากล่าวไว้ว่า
“ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าควรจะตอบแทนสังคม และครอบครัวของผมก็เห็นด้วยกับผม
คำถามก็คือว่า จะตอบแทนอย่างไร” และ“ผมไม่ใช่คนที่ปรารถนาในความมั่นคั่งอย่างราชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทางเลือกหนึ่งยังมีคนอีกจำนวน 6,000 ล้านคน ยังจนกว่าที่เรามีอยู่มาก”
บทสัมภาษณ์เขาน่าสนใจมาก เศรษฐีจากหุ้นคนนี้บอกว่า เขาซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี และเสียใจที่เขาซื้อช้าไป แต่กระนั้นก็ตาม เขาไม่เสียใจที่ใช้เงินออมที่ได้จากงานส่งหนังสือพิมพ์ ซื้อฟาร์มเล็ก ๆ เมื่อเขามีอายุ 14 ปี
ปัจจุบันถึงจะรวยแค่ไหนก็ยังอยู่ในบ้านหลังเล็กเดิมซึ่งมี 3 ห้องนอน ที่ซื้อมาหลังจากแต่งงานเมื่อห้าสิบปีก่อน เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เขาต้องการมีอยู่ในบ้านหลังนี้ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องซื้อใหม่
สำหรับรถยนต์นั้น เขาขับเองไปทุกแห่งหน โดยไม่มีคนขับหรือผู้รักษาความปลอดภัยไปด้วยเลย ยิ่งกว่านั้นเขาไม่มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเหมือนมหาเศรษฐีทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องบินเจ็ตที่ใหญ่ที่สุดของโลก
ก็ตาม
เมื่อมีเวลาว่างเขาไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมหาเศรษฐีไฮโซ งานอดิเรกของเขาเมื่อกลับถึงบ้านคือทำข้าวโพดคั่วเอง และกินไปนั่งดูโทรทัศน์ไป เพราะนี่คือความสุขของเขา
ชาย คนนี้ปัจจุบันอายุ 77 ปี เป็นผู้บริหารในบริษัทต่าง ๆ ได้เงินเดือนรวมกันประมาณปีละ 3.6 ล้านบาท แต่ทุกวันนี้ มีเงินทองและทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และเคยครองแชมป์เป็นมหาเศรษฐีเป็นอันดับ 2 ของโลกนานถึง 4 ปีติดต่อกัน ก่อนจะตกลงมาเป็นอันดับ 3 ในปัจจุบัน
วอร์เรนต์ บัฟเฟท รู้จักคำว่ากำไรครั้งแรก เมื่อขายน้ำอัดลมโค๊กขวดละ 5 เซ็นต์ จากต้นทุนเพียงขวดละกว่า 4 เซ็นต์ ซื้อหุ้นบริษัทแรก เมื่ออายุ 11 ปี ขายได้กำไรครั้งแรกในชีวิตถึงหุ้นละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อที่ดิน หรือ ฟาร์ม ครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุ 14 ปี ด้วยเงินสะสมจากการส่งหนังสือพิมพ์
ปี 2486 วอร์เรน บัฟเฟท อายุ 13 ปี ได้รับเงินคืนภาษีเป็นครั้งแรกในชีวิต 35 เหรียญสหรัฐ จากงานขายจักรยาน อายุ 15 ปี ใช้เงิน 25 เหรียญสหรัฐ ลงทุนกับเพื่อนในชั้นมัธยมปลาย ซื้อตู้เกมส์พินบอลล์มือ 2 ให้บริการในร้านตัดผมชาย 3 เดือนต่อมา บัฟเฟทและเพื่อน มีตู้เกมส์พินบอลล์ถึง 3 เครื่องให้บริการถึง 3 แห่ง อายุครบ 20 ปี เข้าเรียนที่ โคลัมเบีย บิสสิเนส สกูล มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เพื่อต้องการเรียนกับ 2 นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดัง เบนจามิน กราแฮม และ เดวิด ด๊อดด์
1 ปี ต่อมา จบการศึกษาจากโคลัมเบีย บิสสิเนส สกูลเสนอตัวทำงานฟรีกับ นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดัง เบนจามิน กราแฮม แต่ถูกปฏิเสธ เริ่มซื้อหุ้นเล็กน้อยกับบริษัทผลิตน้ำมัน เท็กซาโก้ แต่ล้มเหลว เข้าทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น ได้โอกาสสอนหนังสือให้นักศึกษาภาคค่ำมีอายุเฉลี่ยแก่กว่า วอร์เรน บัฟเฟทในขณะนั้นถึง 2 เท่า ที่มหาวิทยาลัยเนบราสก้า ปีที่ 22 แต่งงานครั้งแรกกับ ซูซาน ทอมสัน
ปี 2497 เบนจามิน กราแฮม กลับเสนองานให้ วอร์เรน บัฟเฟท ด้วยค่าตอบแทนปีละ 12,000 เหรียญสหรัฐ เพียง 2 ปีต่อมา เบนจามิน กราแฮม เกษียณตัวเอง และปิดธุรกิจหลักทรัพย์ วอร์เรน บัฟเฟท กลับไปเมืองโอมาฮา ตัดสินใจตั้งธุรกิจการลงทุน ของตัวเองใช้ชื่อว่า บัฟเฟท แอสโซซิเอท ลิมิเทด วอร์เรน บัฟเฟท มีเงินเก็บจาก 9,800 มาเป็น 140,000 เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่จบจากมหาวิทยาลัยมาถึง 6 ปี
ปี 2505 มีอายุครบ 32 ปี วอเรนต์ บัฟเฟท รู้จักบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ เป็นครั้งแรก ซึ่งทำธุรกิจสิ่งทอ ตัดสินใจซื้อหุ้นมากถึง 49% ในราคาเสนอขายต่ำกว่าหุ้นละ 8 เหรียญสหรัฐ
จากนั้น 3 ปี วอร์เรนต์ บัฟเฟท กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ ปี 2512 เมื่ออายุได้ 39 ปี วอร์เรน บัฟเฟท ปิดบริษัทของตัวเองที่มีชื่อว่า บัฟเฟท แอสโซซิเอท ลิมิเทด และคืนผลตอบแทนทั้งหมดให้ผู้ถือหุ้น เพียง 1 ปีต่อมา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์
อายุ 43 ปี ตัดสินใจซื้อหุ้นในหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ในปี 2522 เข้าซื้อหุ้นธุรกิจสื่อเพิ่มเติมจากบริษัท เอบีซี เฉพาะในปีนั้น ราคาหุ้นบริษัทเอบีซีซื้อขายพุ่งขึ้นถึงหุ้นละ 290 เหรียญสหรัฐ วอร์เรน บัฟเฟท มีสินทรัพย์สูงถึง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งที่ได้รับผลตอบแทนในตำแหน่งประธานบริษัทเพียงปีละ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ และในปี 2522 ราคาหุ้นบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ ซื้อขายต้นปีที่หุ้นละ 775 เหรียญสหรัฐ พุ่งขึ้นถึง 1,310 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในสิ้นปี ส่ง วอร์เรน บัฟเฟท ขึ้นแท่น 400 อันดับมหาเศรษฐีโลกเป็นครั้งแรก จัดโดยนิตยสารฟอร์บส
ปี 2531 เข้าซื้อหุ้น 7% ของบริษัท โคคา โคล่า มูลค่ามากถึง 1.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ ข้ามมาถึงปี 2545 ในวัย 72 ปี วอร์เรน บัฟเฟท ซื้อตราสารเงินเหรียญสหรัฐล่วงหน้าสูงถึง1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในเดือนเมษายนปี 2549 ได้ผลตอบแทนจากตราสารดังกล่าว มากกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่ออายุได้ 75 ปี ประกาศบริจาคเงินมูลค่ามากถึง 80% ของสินทรัพย์ที่มีอยู่ หรือว่า 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ 5 มูลนิธิในสหรัฐ เดือน เมษายน ปี 2550 เข้าซื้อหุ้นมากกว่า 10% ของบริษัท เบอร์ลิงตั้น นอร์ทเทิร์น ซานตา เฟ มูลค่า 3,200 ล้านบาท ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทันที 1.3%
เดือนมิถุนายน ปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟท เขย่าวงการพฤติกรรมมหาเศรษฐีโลก ด้วยการตัดสินใจบริจาคเงินมากถึง 80% ของสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด ให้กับ 5 มูลนิธิแม้วินาทีนี้ในเดือนเมษายน ปี 2550 วอร์เรน บัฟเฟท ไม่สามารถรักษาตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกต่อไปได้ หลายคนมองว่าคงเป็นช่วงสั้น ๆ ที่สูญเสียอันดับให้กับ เจ้าพ่อสื่อสารแดนเม็กซิโก อย่าง คาร์ลอส สลิม เฮลิว แต่สำหรับตำนาน และความเป็นบัฟเฟท กลับมีเสน่ห์ที่ยังต้องค้นหากันต่อไป แม้แต่อารมณ์ขันของคุณปู่วัย 77 ปีคนนี้
วอร์เรนต์ บัฟเฟท กลับใช้ชีวิตในหลายด้าน ที่หักมุมความคิดของคนหลายคน แม้แต่ บ้านของมหาเศรษฐีวัย 77 ปี กลับตั้งอยู่ชานเมืองห่างจากมหานครนิวยอร์กถึง 1,250 ไมล์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือไว้ติดตัว ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน อาหารง่าย ๆคือ แฮมเบอร์เกอร์ และโค้ก 2 อย่างที่ วอเรนต์ บัฟเฟท ถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 อย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความเป็นคนที่ติดดิน แต่กลับสร้างอาณาจักรการลงทุนกับหุ้นที่มีคุณค่า ในความหมายของวอร์เรน บัฟเฟทชายชราวัย 77 ปี ขับรถที่ได้มาจากการประมูล ด้วยตัวเอง ไม่ต้องการคนขับรถไม่ว่าจะเป็นวันทำงาน หรือวันหยุด
ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก Warren Buffet วอร์เรน บัพเฟตต์
ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก Warren Buffet วอร์เรน บัพเฟตต์ แปลโดย Wilai Trakulsin
มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์
ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:
1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!
2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์
3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม
4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน
5) เขาไม่เคยเดินทางด้ วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก
6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซี.โอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปีเขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซี.โอเหล่านี้เป็น ประจำ
7) เขาให้กฎแก่ ซี.โอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1
8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซการพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์
9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิลเกดส์ได้พบบัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน บัพเฟตต์
10) วอร์ เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเองที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง
มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุดเท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน
พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหนยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร
สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน..
.....มองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ที่มา : http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=14424&page=1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น