วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
พฤหัสบดี 31 กรกฎาคม 2008 - 9:29
2 มิ.ย. ณ โรงแรมดุสิตธานี เจ้าสัว ซี.พี. "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) กล่าวปาฐกถาเรื่อง "ทฤษฎี 2 สูง ทางเลือกสุดท้าย ทางรอดประเทศ ?" ท่ามกลางรัฐมนตรีของรัฐบาลสมัคร เทคโนแครต นักธุรกิจ และชนชั้นนำในเมืองจำนวนมาก เจ้าสัว ซี.พี.ยืนยันว่า ยุคนี้คือยุคทองของภาคเกษตร แต่สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นคือต้องทำให้เกิด 2 สูง โดยหมายถึงการปล่อยให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นตามกลไกตลาด และรัฐต้องเพิ่มรายได้หรือเพิ่มเงินค่าครองชีพของประชาชนให้สูงขึ้น โดยเริ่มจากเงินเดือนราชการ และการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ"อย่ากังวลว่าจะทำให้เงินเฟ้อ เพราะการปล่อยให้สินค้าราคาสูงขึ้นจะทำให้ประชาชนเกิดประหยัดโดยอัตโนมัติ และสุดท้ายราคาสินค้าก็จะลงมาเอง สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือการมีเงินแต่ไม่มีของจะซื้อ แม้จะให้เงินเดือนแพง แต่หากไม่มีสินค้าจะซื้อจะเป็นอันตรายยิ่งกว่า ซึ่งแนวทางนี้ดีกว่าการใช้ทฤษฎี 2 ต่ำอย่างที่ผ่านมา ซึ่งรัฐเข้าแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรและควบคุมให้อยู่ในระดับต่ำและประชาชนยังมีรายได้ต่ำ มีแต่จะยิ่งทำให้คนขี้เกียจและประเทศชาติไม่พัฒนาขึ้น" นายธนินท์กล่าวผ่านไป 1 เดือน (24 กรกฎาคม) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "1 ล้านไร่ มิติใหม่ที่ราชพัสดุ" ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตอนหนึ่ง นายสมัคร สุนทรเวช กล่าวว่า "วันนี้ค่าครองชีพขึ้นสูง นายห้าง ซี.พี.ก็บอกว่าให้ผมขึ้นเงินเดือน เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ แล้วผมจะเอาเงินที่ไหนมาขึ้นเงินเดือน แล้วมาบอกว่าให้กู้เงินมาขึ้นเงินเดือน อย่างนี้ตายเลย คงทำไม่ได้" จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ทฤษฎี 2 สูงของเจ้าสัว ซี.พี.ถูกนายห้างอีกคนท้าทายอย่างนิ่มนวลและเป็นมิตร เจ้าสัวคนนั้นคือ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เจ้าของทฤษฎี 2 อ่อน โดยเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน นายห้างสหพัฒน์เสนอว่า ภาวะที่คนไทยได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพปรับเพิ่มขึ้น จึงขอนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยทฤษฎีสองอ่อน กล่าวคือ ใช้นโยบายเงินบาทอ่อน เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมหรือปรับลดลงอีก และหากนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ควบคู่กับนโยบายสองสูง ปรับราคาสินค้าเกษตร และเงินเดือนให้สูงตามข้อเสนอของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซี.พี. เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างแน่นอนภายในสองเดือนเพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก หากเงินบาทอ่อนค่าการส่งออกจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มรากหญ้าได้เป็นอย่างดี ส่วนอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้นจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ลดต้นทุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เพิ่มรายได้จากภาคท่องเที่ยว รวมทั้งสกัดกั้นไม่ให้มีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทสิ่งที่นักธุรกิจเป็นห่วงขณะนี้คือ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล หากปรับดอกเบี้ยเพิ่มเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ และใช้บาทแข็งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจถดถอย แต่หากใช้ทฤษฎีสองอ่อน รวมทั้งมีการปรับรายได้ให้สอดคล้องเชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อจะไม่เกิดขึ้น"ผมเป็นห่วงการปรับดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ผมเข้าใจว่าคงใช้ตำราคนละเล่ม หากใช้แบบนี้เมื่อ 40 ปีทำได้ แต่ปัจจุบันเงินทุนมีการไหลเข้าออกตลอดเวลา ขึ้นดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อยจะมีเงินไหลเข้ามาเก็งกำไรซึ่งไม่ดีกับเศรษฐกิจ เงินบาทแข็ง รายได้กลุ่มรากหญ้าไม่ดี ทุกอย่างจะกระทบไปหมด" ขณะที่ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ประธานคณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เล่นบทเอาใจ 2 นายห้างโดยการผสมผสาน 2 สูง 2 อ่อน แบบเป็นมิตรว่า "ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของคุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ที่เสนอให้รัฐบาลใช้แนวทางการแก้ปัญหาโดยใช้ทฤษฎี 2 อ่อน คือเงินบาทอ่อน กับอัตราดอกเบี้ยหากไม่ปรับลงให้ อ่อนกว่านี้ก็ไม่ควรเพิ่มขึ้น สามารถทำ ควบคู่กับทฤษฎี 2 สูงของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ คือเพิ่มรายได้แรงงานให้สูง และให้สินค้าสูงตามกลไกตลาด" แต่นอกวงนายห้างและเจ้าสัว บรรดาปราชญ์ชาวบ้านอย่าง นายป้อมเพชร กาพึง ปราชญ์ท้องถิ่นเมืองพะเยา บ้านต๋อมดง ต.บ้านต๋อม อ.เมือง จ.พะเยา กลับมองต่างมุม โดยนายป้อมเพชรฟันธงว่า "ทฤษฎี 2 สูง นับเป็นเรื่องดีสำหรับกลุ่มเกษตรที่มุ่งทำเกษตรเชิงเดี่ยว ทำการเกษตรตามกระแส ซึ่งต้องเท้าความว่าบ้านเมืองเราเป็นเมืองเกษตรกรรมทำกันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด แต่เกษตรสมัยก่อนนั้นเป็นเกษตรทำเพื่อกิน แลกเปลี่ยน การขายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำกันในสมัยก่อน เรามักได้ยินคำว่าพริกอยู่เรือนเหนือ เกลืออยู่เรือนใต้ ผมว่ามันเป็นความงดงาม มันแสดงถึงความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน""ช่วงหลังโลกมันเจริญขึ้น การทำการเกษตรก็เปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก ต้องทำเพื่อเงินทองนำเงินมาพัฒนาประเทศ เกษตรกรเราก็หลงจนกลายเป็นเบี้ยล่าง แต่ก่อนบ้านเราปุ๋ยยาไม่มีใครรู้จัก ตอนหลังมันกลายเป็นเกษตรกรรมเพื่อการค้า ปลูกอะไรบ้างแล้วขายได้ เน้นเพียงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ช่วงหลังเราก็ถูกคนข้างนอกบงการ กลายเป็นทาสของนายทุน ทุกอย่างต้องซื้อ ทั้งเมล็ดพันธุ์ น้ำมัน ต้นทุนเกี่ยวกับปัจจัยการผลิต"นายป้อมเพชรกล่าวต่อว่า มีพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ออกมามากมาย แต่ต้องมีการลงทุน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เจ้าของนากลายเป็นผู้จัดการนา โดยมีผู้ร่วมลงทุนหลายรายเข้ามา เช่น ธ.ก.ส.หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ญี่ปุ่นส่งรถไถนา เยอรมนีส่งยาฆ่าแมลง เกาหลีส่งปุ๋ยเคมี และอีกอย่างที่ตามมาคือ ความเสี่ยง ซึ่งเกษตรกรต้องแบกรับไว้เต็มๆ ทุกวันนี้การเกษตรมันเป็นการลงทุน มันมีความเสี่ยง เช่น ถ้าเกิดภัยธรรมชาติ ฝนแล้ง น้ำท่วม เกษตรกรต้องแบกรับเอง ผู้จัดการนาก็ต้องแบกรับภาระหนี้สินมากขึ้นทุกปี ไม่รู้ว่าเกษตรกรจะมีทางรอดอย่างไร มีทางหลุดหนี้สินอย่างไร "เกษตรกรมากกว่า 90% ติดหนี้สินและไม่มีทางออก ทั้งยังมาถึงเรื่องสุขภาพ คนเข้าโรงพยาบาลมากขึ้น เพราะอาหารมาจากผลผลิตการเกษตร แล้วถ้ามีสารเคมี ก็จะเกิดการสะสมสารเคมี กลายเป็นพิษภัยต่อร่างกาย เมื่อ 10 ปีก่อนคนเข้าโรงพยาบาลพะเยา 500-600 คน แต่เดี๋ยวนี้ 800-1,200 คน พวกนี้ก็มาจากเรื่องอาหาร สิ่งแวดล้อม""ทางรอดไม่ใช่การวิ่งเหมือนสิ่งที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่อย่าง ซี.พี.บอก เราต้องสร้างทางเลือก ต้องสร้างเกษตรที่เป็นทางเลือก เป็นอิสระ อย่างเช่นเกษตรอินทรีย์ อย่างตอนนี้สินค้าเกษตรอินทรีย์ของผมสามารถขายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนายหน้า เวลาขายของไม่ต้องไปถึงตลาดก็มีคนมาถามซื้อ คือถ้ามาในแนวเกษตรทางเลือก เราจะเป็นอิสระจากกลุ่มทุน ไม่ต้องเป็นทาสของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่ในเวลานี้ต้องลงนาทีก็ต้องหาทุน" (www.prachatai.com)ความเห็นที่แตกต่างระหว่างเจ้าสัว ซี.พี.กับปราชญ์ชาวบ้าน อาจเป็นไปตาม "ทฤษฎี 2 นครา" ของอาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่เชื่อว่า ชนชั้นนำในเมืองกับคนในชนบท มองโลกไม่เหมือนกัน
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
29 กรกฎาคม 2551 11:31 น.
ตลาดการสื่อสารไร้สายมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการหลอมรวมของเทคโนโลยีของการใช้งานของผู้บริโภค และการเพิ่มการรวมบริการไร้สายในตลาดองค์กร ในขณะเดียวกัน การให้บริการด้านเสียงแบบดั้งเดิมกลายเป็นบริการพื้นฐานซึ่งส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อเบอร์ (ARPU) มีอัตราคงที่หรือลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่พัฒนาแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายจึงพยายามมองหาบริการข้อมูลที่ล้ำหน้าเพื่อช่วยกระตุ้นรายได้ให้เติบโตขึ้น ในการสนับสนุนการให้บริการด้านข้อมูลดังกล่าว ผู้ให้บริการเครือข่ายตระหนักว่าพวกเขาต้องการเครือข่ายที่ล้ำหน้ากว่าเครือข่าย 2G/2.5G สำหรับการเติบโตในระยะยาว ตลอดจนโซลูชั่นที่ตอบสนองความต้องการด้วยราคาที่เหมาะสม ความสามารถของเทคโนโลยี 3G และบรอดแบนด์สามารถตอบสนองการให้บริการโซลูชันด้วยคุณสมบัติพิเศษตามความต้องการของผู้ให้บริการเครือข่าย ดังต่อไปนี้ การวางกลยุทธ์ที่ดีในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อคุ้มครองการลงทุน ,ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมและความคุ้มค่าในด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ตอบสนองต่อการลงทุน, สนับสนุนแอปพลิเคชันที่หลากหลายและการให้บริการ รวมถึงการรับ-ส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่การครอบคลุมทุกหนทุกแห่ง จำนวนผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งรายใหญ่และรายย่อย ที่อยู่ในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ต่างพร้อมแล้วในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 3G เมื่อเดือนเมษายน 2551 มีจำนวนผู้ให้บริการเครือข่าย 3G ทั่วโลกมากถึง 465 ราย ด้วยผู้ใช้บริการทั่วโลกกว่า 625 ล้านคนใน 144 ประเทศ ในจำนวนผู้ใช้บริการดังกล่าว มีจำนวนมากถึง 128 ล้านรายที่เลือกใช้บริการ Evolution – Data Optimized (EV-DO) หรือ High-Speed Packet Access (HSPA) ตัวอย่างความสำเร็จของผู้นำด้านการให้บริการเครือข่าย 3G ทั่วโลกมาเป็นกรณีศึกษา โดยเฉพาะ Verizon Wireless, AT&T, KDDI และ Maxis ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายที่สามารถขยายบริการในสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย Verizon และ KDDI เปิดให้บริการ CDMA2000? ขณะที่ AT&T และ Maxis เปิดให้บริการ WCDMA รวมทั้ง HSPA กรณีศึกษา 3G ทั่วโลก ในปี 2548 AT&T เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยจำนวนผู้ใช้บริการมากถึง 71.4 ล้านรายได้เปิดให้บริการ HSDPA เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นรายแรกของโลก โดย AT&T ได้เริ่มต้นเปิดให้บริการโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อพื้นที่ในเขตเมืองหลวง และขยายการให้บริการไปสู่เขตชานเมืองในระยะเวลาต่อมา ทาง AT&T ได้วางแผนขยายการให้บริการ 3G เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสู่การเป็นบริษัทใน 350 อันดับสูงสุดของตลาดสหรัฐอเมริกาภายในสิ้นปี 2008 เทคโนโลยี 3G ได้กระตุ้นการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อเบอร์ ทางด้านการใช้บริการด้านข้อมูล (data ARPU) และยังเพิ่มความจงรักภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ AT&Tมากขึ้นด้วย โดย data ARPU เพิ่มขึ้นถึง 57.5% ปีต่อปีในไตรมาสที่ 4 ของปี 2007 รายได้จากบริการด้านข้อมูลอยู่ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 20% จากรายได้จากการให้บริการแบบไร้สายทั้งหมด อัตราการยกเลิกใช้บริการลดลงอยู่ที่ 1.2% ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับ 1.5% ของปีที่ผ่านมา เมื่อไม่นานนี้ AT&T เปิดเผยแผนดำเนินงานของการสิ้นสุดการยกระดับเครือข่ายไปสู่เทคโนโลยี HSUPA (High-Speed Uplink Packet Access) ในกลางปี 2551 โดย AT&T ได้ยืนยันถึงแผนดำเนินการ 3G ด้วยการประกาศเจตจำนงในการพัฒนาเครือข่าย 3G ไปสู่เทคโนโลยี HSPA+ และ LTE (Long Term Evolution) ในอนาคต KDDI เป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคโนโลยีกระจายข้อมูลบนเครือข่าย 3G ซึ่งให้ประโยชน์ 2 ประการแก่ผู้ให้บริการเครือข่าย นั่นคือความสามารถในการให้บริการ มัลติมีเดียกระจายไปยังผู้รับจำนวนมากโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เซลลูลาร์ และความสามารถในการเพิ่มรายได้ให้แก่เครือข่ายในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย บริการ EZ News Flash ให้บริการข่าวรายชั่วโมงและอัปเดตข้อมูลตลอดทั้งวัน และบริการ EZ Channel Plus ให้บริการด้านการชมเนื้อหาเบื้องต้นที่ผู้ใช้บริการโปรดปรานอย่างเช่น ดนตรี ภาพ วิดิโอ หรือข้อมูลด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้บริการสามารถรับชมเนื้อหาได้ก่อนจากคลิปวีดิโอที่ให้บริการฟรี และสามารถดาวน์โหลดเวอร์ชันเต็มด้วยการเสียค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย ปริมาณการใช้บริการ WIN หรือ EV-DO ของ KDDI และรายได้เฉลี่ยต่อเบอร์อยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก ARPU ทั้งหมดสำหรับผู้ใช้บริการ WIN มีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าผู้ใช้บริการในเครือข่ายอื่นถึง 30-40%และ สัดส่วนรายได้ด้านข้อมูลสำหรับผู้ใช้บริการ WIN ก็สูงเกือบเป็น 2 เท่าของผู้ใช้บริการรายอื่นๆ สัดส่วนรายได้ข้อมูลต่อรายได้ทั้งหมดสำหรับผู้รับบริการของ WIN คิดเป็นถึง 35-40% เช่นเดียวกับผู้นำในบริการเครือข่าย EV-DO รายอื่นๆ KDDI ได้พัฒนายกระดับเครือข่ายเป็น EV-DO Rev.A ในปี 2007 การอัปเกรดเครือข่ายนี้ได้ทำให้ KDDI สามารถขยายการให้บริการหลากหลายซึ่งรวมถึงบริการวิดีโอโฟนเป็นรายแรกในตลาด Maxis ในประเทศมาเลเซีย ความสำเร็จของเทคโนโลยี 3G ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น แท้จริงแล้ว 3G ยังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเพิ่มอัตราการเข้าถึงบรอดแบนด์ในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย Maxis ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาความสำเร็จของ 3G ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Maxis มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 41.5% ของตลาดมือถือ มีพื้นที่การให้บริการครอบคลุมมากกว่า 92 % ของประเทศ โดยเปิดให้บริการ WCDMA เมื่อเดือนกรกฎาคม 2548 และ HSDPA เมื่อเดือนกันยายน 2549 Maxis ได้รับประโยชน์จากการให้บริการ 3G ที่มีแพลตฟอร์มประสิทธิภาพสูงในการเปิดให้บริการแอปพลิเคชันที่หลากหลาย เช่น video on demand การดาวน์โหลดเพลงแบบเต็มเพลง และการดูวิดิโอทางโทรศัพท์มือถือ Maxis ได้ให้บริการผ่านอุปกรณ์หลายชนิด ทั้งดาต้าการ์ด และ USB เพื่อกลุ่มเป้าหมายตลาดองค์กร เมื่อเดือนเมษายน 2551 Maxis รายงานว่ามีผู้ใช้บริการ 3G ถึง 1.3 ล้านคนด้วยอัตราที่เพิ่มขึ้นสูงมากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ความสำเร็จของการให้บริการของ Maxis คือความมั่นใจในการลงทุนในเครือข่าย 3G ผู้ให้บริการเครือข่ายควรกำหนดเป้าหมายทั้งการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายและโทรศัพท์พื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีการเข้าถึงบริการบรอดแบนด์พื้นฐานในปริมาณไม่มาก Maxis ได้สาธิตรูปแบบความสำเร็จของ 3G ในตลาดเกิดใหม่ Verizon Wireless สหรัฐอเมริกา Verizon เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดของการให้บริการข้อมูลไร้สายในสหรัฐอเมริกาด้วยการเปิดให้บริการเครือข่าย EV-DO ในปี 2546 การเปิดให้บริการบรอดแบนด์นี้จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มตลาดองค์กร โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการให้บริการได้แก่ดาต้าการ์ด ด้วยอัตราความเร็วสูงสุด 2 Mbps และ 400 Mbps เฉลี่ยต่อจำนวนผู้ใช้บริการ การให้บริการบรอดแบนด์นี้จะให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทุกหนทุกแห่ง และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างวิถีการใช้บริการของคนทำงานและผู้บริโภคทั่วไปในการเชื่อมต่อเครือข่ายขององค์กรและการเล่นอินเทอร์เน็ต ประสิทธิภาพของ Verizon ของการให้บริการที่ประสบผลสำเร็จของ Verizon ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นรวมเป็น 2 ล้านราย เป็นผู้ใช้บริการรายย่อย 1.9 ล้านราย ด้วยจำนวนลูกค้าทั้งหมด 65.7 ล้านราย ซึ่งเป็นลูกค้ารายย่อย 63.7 ล้านราย มีจำนวนผู้ใช้บริการรายย่อยเพิ่มขึ้นจำนวน 6.9 ล้านรายในปี 2550 ซึ่งมากที่สุดของผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งหมด มียอดยกเลิกใช้บริการทั้งหมด 1.2% ซึ่ง 0.94% เป็นผู้ใช้บริการรายย่อยรายเดือน และเป็นผู้นำทางด้านความจงรักภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ รายได้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 13.3% รายได้จากบริการด้านข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 53% รายได้เฉลี่ยต่อเบอร์จากบริการต่างๆ เพิ่มขึ้นทั้งในรายไตรมาสและตลอดทั้งปี มีรายได้เฉลี่ยต่อเบอร์จากข้อมูลสูงสุดในไตรมาส กำไรก่อนการคำนวณภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) สูงถึง 43.6% จากรายได้การให้บริการ (non-GAAP) ประโยชน์ของ 3G เทคโนโลยี 3G ช่วยให้ผู้บริการเครือข่ายจำนวนมากได้รับประโยชน์จากการให้บริการด้านข้อมูลและเสียงที่ให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้บริการ เทคโนโลยี 3G ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสมกับตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์การเติบโตของ 3G ทั้งในแง่ของผู้ใช้บริการ เครือข่าย อุปกรณ์เทอมินอล และรายได้จากบริการ เหล่านี้เน้นให้เห็นถึงตำแหน่งผู้นำตลาดของผู้ให้บริการ 3G ความสำเร็จในการให้บริการ 3G จำนวนมากจากผู้ให้บริการทั่วโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า 3G เป็นโซลูชันสำหรับตลาดไร้สายทั่วโลก หน่วยงานองค์กรต่างๆ ในระบบอีโคซิสเต็มในบริการ 3G ที่หลากหลาย และความสามารถของบรอดแบนด์ไร้สายสามารถเพิ่มจุดแข่งขันและประโยชน์ในตลาดไร้สายอย่างมากในตลาดไร้สายที่มีการเติบโตสูงนี้
บทความ : มร.จิง หวาง รองประธานบริหารควอลคอมม์ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
http://www.manager.co.th/
เกิด : วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1856 ที่ Freiberg, Moravia ปัจจุบันอยู่ในสาธารณเชก (Czech Republic)เสียชีวิต : วันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1939 ที่ประเทศอังกฤษ (England)ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ (The Father of Psychoanalysis) เป็นชื่อที่ผู้ศึกษาหรือสนใจทางวิชาจิตวิทยารู้จักดี ทั้งนี้เพราะว่าเขาเป็นคนสำคัญที่บุกเบิกการศึกษาทางจิตเวช และทฤษฎีต่างๆ ที่เขาค้นพบก็ยังคงนำมาใช้บำบัดโรคทางจิตอยู่จนทุกวันนี้Sigismund Schlomo Freud คือชื่อเต็มของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1856 ที่ Freiberg, Moravia ปัจจุบันอยู่ในสาธารณเชก (Czech Republic) บิดาของฟรอยด์เป็นพ่อค้าขนสัตว์ เมื่อเขาอายุได้ 4 ขวบครอบครัวของเขาก็อพยพไปอยู่ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งมีช่องทางค้าขายดีกว่า ตอนแรก ฟรอยด์คิดถึงบ้านเก่ามาก เพราะเคยได้วิ่งเล่นกลางแจ้ง แต่ต่อมาเมื่อโตขึ้น เขาก็ได้พบสิ่งที่สนุกสนานกว่าการวิ่งเล่น นั่นคือการอ่านหนังสือฟรอยด์ ชอบอ่านหนังสือมาก และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เขาเป็นคนฉลาด ตลอด 8 ปีของการเรียนในโรงเรียน ฟรอยด์สอบได้ที่ 1 ถึง 6 ครั้งด้วยกันเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม และจบจากโรงเรียนแล้ว ฟรอยด์ยังไม่แน่ใจว่าเขาควรจะยึดถืออาชีพอะไรดีในอนาคต อย่างไรก็ตาม ที่สุดเขาก็สอบเข้าศึกษาต่อวิชาแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งกรุงเวียนนา (University of Vienna) ตอนนั้นเขาอายุได้ 17 ปีถึงแม้จะเรียนแพทย์ แต่ฟรอยด์ก็สนใจศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับชีวิตอื่นๆ และทั้งๆ ที่ฐานะของเขาไม่สู้ดี ฟรอยด์ยังสามารถเรียนมหาวิทยาลัยได้ถึง 8 ปี (1873 - 1881)โดยหาเงินได้จากการแปลและสอนพิเศษ นอกจากนั้น ครูอาจารย์และเพื่อนๆ ที่สนิทสนมแลเห็นความสามารถของเขา ก็ให้ยืมเงินอีกจำนวนหนึ่งด้วยปี 1881 ฟรอยด์ได้รับปริญญา แต่กระนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแพทย์ฝึกหัดดีหรือไม่ เขาก็เลยหันไปทำการค้นคว้าต่อทางด้านเซลล์สมอง ในตอนนี้เอง ฟรอยด์ได้หมั้นกับ มาร์ธา เบิร์นเนย์ (Martha Bernays) เขารู้ว่าถ้าเขายังคงทำการค้นคว้าต่อไป ก็คงไม่มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวดังนั้น ฟรอยด์จึงตัดสินใจว่าจะประกอบอาชีพแพทย์ ปี 1886 เขากับมาร์ธาก็แต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองมีลูกด้วยกันถึง 6 คน เมื่อตอนก่อนที่ฟรอยด์จะแต่งงาน เขาได้ไปศึกษาเรื่องเชื้อโรคทางสมองและประสาทที่ปารีส กับ ชาร์โคต์ (Jean Charcot) ซึ่งทำการรักษาคนไข้ที่เป็นอัมพาต ฟรอยด์เริ่มเชื่อว่าคนป่วยแบบนี้บางคนมีสาเหตุทางจิตใจ ไม่ใช่ทางกายเมื่อฟรอยด์กลับมาเวียนนา เขาได้ทำงานเป็นแพทย์ทางสมองและประสาท และได้พบคนไข้ประเภทเดียวกับที่พบมาในปารีส คือ เป็นอัมพาตโดยไม่มีสาเหตุทางร่างกายเลย คนไข้เหล่านี้พอใจที่จะมีใครสักคนหนึ่งคอยฟังเขาพูดโดยไม่แสดงความเบื่อหน่าย คนป่วยด้วยสาเหตุทางจิตนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวที่ประสบมาในวัยเด็ก ซึ่งเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นความรู้สึกอันนั้นก็ยังคงซ่อนอยู่ จนกระทั่งเมื่อเกิดสภาพการณ์ใดที่คล้ายคลึงกันนั้นขึ้น ก็จะทำให้คนผู้นั้นเกิดอาการเจ็บป่วย เนื่องจากสาเหตุด้านจิตใจดังกล่าวมาแล้ววิธีการของ ฟรอยด์ ก็คือ พยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจสภาพการณ์นั้น และแก้ไขวิธีการแบบนี้เรียกว่า "จิตวิเคราะห์" ปรากฏว่า ผู้ป่วยหลายรายที่ได้รับการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์แล้วก็หายป่วย แต่ถึงกระนั้นบรรดาแพทย์เก่าก็ยังไม่ยอมรับ ฟรอยด์ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นของเขาในเรื่องนี้ในวารสารวิทยาศาสตร์หลายฉบับ แต่เขาก็ไม่ละความพยายามจนกระทั่งปัจจุบันวงการแพทย์ก็ยอมรับว่าวิธีการของฟรอยด์เป็นวิธีที่ถูกต้องศิษย์ของฟรอยด์หลายคนได้นำวิธีการของเขาไปใช้ในการบำบัดรักษา และได้พัฒนาขึ้น มีการประชุมกันระหว่างแพทย์จากนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ในปี 1908 เป็นครั้งแรกราวปี 1930 งานของฟรอยด์ก็เป็นที่ยอมรับและยกย่องกันทั่วไป อย่างไรก็ตาม ปี 1938 เมื่อกองทัพนาซีเยอรมันเข้ายึดเวียนนาและออสเตรียทั้งหมด ฟรอยด์ซึ่งเป็นยิวจึงต้องหลบหนีออกจากออสเตรีย ซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่ถึง 52 ปี มาอยู่อังกฤษและถึงแก่กรรมที่นั่นด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1939ผลงานการตีพิมพ์ที่สำคัญ :
The Interpretation of Dreams, 1900
The Psychopathology of Everyday Life,1901
Three Essays on the Theory of Sexuality, 1905
Totem and Taboo, 1913
On Narcissism, 1914
Beyond the Pleasure Principle, 1920
The Ego and the Id, 1923
The Future of an Illusion, 1927
Civilization and Its Discontents, 1929
Moses and Monotheism, 1939
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ผู้จัดการออนไลน์
24 กรกฎาคม 2551
"ทฤษฎีวิวัฒนาการ" และ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" กลายเป็นคำที่ต้องมีปรากฏอยู่ในหนังสือเรียนวิชาชีววิทยาในเบื้องต้น ก่อนที่จะศึกษาลงลึกถึงระดับเซลล์และยีนต่อไป แต่ทฤษฎีนี้นี่เองกลับแบ่งแยกความคิดเห็น ออกเป็น 2 ฝ่าย บ้างก็เชื่อถือในทฤษฎีนี้ บ้างก็บอกว่าแนวคิดนี้เหลวไหล ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขัดแย้งกับความเชื่อในบางศาสนา "คุณเชื่อเรื่องวิวัฒนาการหรือไม่?" ผู้จัดการวิทยาศาสตร์มีความคิดเห็นของคนวงในมารายงาน ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) "นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตต่างๆ เริ่มต้นมาจากสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แล้วค่อยๆ วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาจนมีความซับซ้อนมากขึ้น ส่วนตัวผม ซึ่งไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการสักเท่าไหร่" "แต่ก็ค่อนข้างเชื่อในทฤษฎีนี้ และเคยเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution National Museum of Natural History: NMNH) ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ ซึ่งเขาจัดแสดงเรื่องวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบให้ชมกันอย่างน่าทึ่งมาก เชื่อว่าทฤษฎีวิวัฒนาการมีแนวโน้มเป็นไปได้มาก เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เช่น ฟอสซิลสิ่งมีชีวิตต่างๆ มากมาย" "ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมานั้น ก็อาจจะเป็นความจริงก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่" นางเพ็ชรรัตน์ ศรีวิลัย คุณครูสอนวิชาชีววิทยา ชั้น ม.4 และ ม.6 โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) "ครูเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะจากที่ครูได้อ่านทั้งที่เป็นบทความ วารสารทางวิชาการ และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่เขาได้อ้างไว้มีความน่าเชื่อถือมาก และมีความเป็นไปได้สูง" "สำหรับนักเรียน ครูจะให้ข้อมูลเรื่องวิวัฒนาการแก่นักเรียนตามข้อมูลในหนังสือเรียน มีการตั้งคำถาม เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิด แต่หากยังมีนักเรียนบางส่วนที่ยังไม่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ จะบังคับให้ทุกคนเชื่อเหมือนกันหมดก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่สามารถแนะนำให้นักเรียนอ่านเพิ่มเติม นอกเหนือจากหนังสือเรียนด้วย และพิจารณาด้วยตัวเองว่า ยอมรับทฤษฎีนี้ได้หรือไม่ และสอนนักเรียนอยู่เสมอว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากมีข้อมูลใหม่มาหักล้างข้อมูลเดิม" รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล นักวิทยาศาสตร์ และนักเขียน "เชื่อตามสภาพการณ์และองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ขณะนี้ ซึ่งหลังจากที่ดาร์วินเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการและตีพิมพ์หนังสือกำเนิดสปีชีส์ (On the Origin of Species) ก็ก่อให้เกิดการโต้แย้งของนักวิทยาศาสตร์ 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต เป็นผลจากพันธุกรรม ส่วนอีกฝ่ายเชื่อว่าเป็นผลจากสิ่งแวดล้อม" "กระทั่งมีการนำเอาความหมายของทฤษฎีวิวัฒนาการไปใช้ในสังคมมนุษย์ จนเกิดเป็นคำว่า "ลัทธิดาร์วินทางสังคม" (Social Darwinism) ที่เชื่อว่าทายาทของคนในตระกูลสูงหรือมีฐานะ จะฉลาดและประสบความสำเร็จ มากกว่าคนที่มาจากตระกูลหรือฐานะด้อยกว่า จนเกิดกระแสพันธุกรรมนิยม ที่กีดกันผู้ที่ด้อยกว่า และโยงไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี" "หากดาร์วินยังมีชีวิตอยู่จนได้รับรู้ถึงผลที่ตามมาจากทฤษฎีของเขา เขาก็คงจะเสียใจอย่างมาก เพราะเขาต้องการอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในช่วงเวลาหลายล้านปีเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อม" "ส่วนความเห็นขัดแย้งในเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาที่มีเรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวนี้ฝ่ายที่ไม่เชื่อวิวัฒนาการ ก็มีลดน้อยลงแล้ว แต่คงจะไม่ได้หมดไปเลย อนาคตอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงอีกก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมมากกว่า ซึ่งคล้ายกับวิทยาศาสตร์และโหราศาสตร์ในประเทศไทย" ศ.ดร.ระวี ภาวิไล นักดาราศาสตร์อาวุโส และอดีตอาจารย์ด้านดาราศาสตร์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ยอมรับไว้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด ของมนุษย์เราในตอนนี้ที่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและการเกิดสปีชีส์ใหม่ ซึ่งดาร์วินได้ศึกษารวบรวมข้อมูลจากสัตว์ในธรรมชาติ พิจารณาประกอบกับสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่อาศัยอยู่ เพื่อหาคำตอบว่าสัตว์เกิดขึ้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงชาติพันธุ์ได้อย่างไร" "เป็นความพยายามที่จะอธิบายถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ ในแนวทางที่คิดว่ามีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยก็ให้การยอมรับในทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา แต่หากในอนาคตมีการค้นพบหลักฐานหรือมีคำอธิบายอื่นที่น่าเชื่อถือและเป็นไปได้มากกว่า ก็อาจจะต้องยึดตามข้อมูลใหม่" ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการ เพราะมีหลักฐานหลายอย่างที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ ทั้งสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ ซากฟอสซิลต่างๆ และการพิสูจน์ด้วยดีเอ็นเอ รวมทั้งการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ก็พบว่าจุลินทรีย์มีการปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้" "ซึ่งเรื่องวิวัฒนาการนี้ ก็มีอธิบายอยู่ในพระพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน ก็คือเรื่องของอนิจจังหรือความไม่เที่ยงนั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างโลกของเราก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย สิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุ์ไป ก็มีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นวิวัฒนาการขึ้นมาแทนที่ เป็นอย่างนี้เรื่อยมา" ศ.ดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงษ์ นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ (สทส.) "วิวัฒนาการนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ยกตัวอย่างที่เข้าใจได้ง่าย เช่น ทำไมศัตรูพืชถึงระบาดได้ นั่นก็เพราะ นก หนู งู ที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของศัตรูพืชมีจำนวนลดลง ทำให้ขาดความสมดุลในธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติเปลี่ยนไป สิ่งมีชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ และเกิดวิวัฒนาการต่อๆ ไป" ศ.ดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโส และอดีตผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) "เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการจริง เพราะวิวัฒนาการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลายาวนาน สิ่งมีชีวิตค่อยๆ ปรับเปลี่ยนตัวเองให้อยู่รอดได้ในสิ่งแวดล้อมที่ดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าวิวัฒนาการนั้นเป็นผลมาจากยีน เป็นผลให้เกิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ และในปัจจุบันเราก็สามารถสังเกตวิวัฒนาการได้จากการกลายพันธุ์ของยีน (mutation)"
วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
6 กุมภาพันธ์ 2551
เอเอฟพี - ศึกเลือกผู้แทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของฝั่งเดโมแครต เป็นเรื่องการต่อสู้กันระหว่างคนรุ่น "เจเนอเรชั่น X" กับพลังของคนยุค "เบบี้บูม" พอๆ กับที่เป็นศึกระหว่างบารัค โอบามา กับฮิลลารี คลินตัน นักวิเคราะห์เผย ขณะที่ศึกชิงเป็นผู้แทนพรรคของรีพับลิกันนั้นยังเปิดกว้าง แต่ฝั่งแดโมแครตนั้นเริ่มก่อรูปเป็นการดวลตัวต่อตัวระหว่างฮิลลารี อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งวัย 60 ปี กับโอบามา วุฒิสมาชิกวัย 46 ปี และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่คนรุ่นเจเนอเรชั่น X ประกาศตัวลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี "เจเนอเรชั่น X นั้นใช้เรียกคนอเมริกันที่เกิดระหว่างปี 1961 ถึง 1977" เจฟฟ์ กอร์ดิเนียร์ บรรณาธิการนิตยสาร 'ดีเทลส์' ของสหรัฐฯ กล่าว "ผมจึงคิดว่าเป็นคนกลุ่มที่เกิดตอนเริ่มต้นทศวรรษ 1960 เรื่อยมาจนถึงตอนที่ภาพยนตร์สตาร์วอร์สออกฉายเป็นครั้งแรก และช่วงที่ดนตรีแนวพังก์ร็อกดังระเบิดในปี 1977" เขาบอก กอร์ดิเนียร์กล่าวต่อว่า คนพันธุ์ X นั้นมักจะบอกว่าตัวเองเป็นคนเน้นการปฏิบัติ หัวก้าวหน้า และมีค่านิยมร่วมกัน คนเจนเอ็กซ์มีอายุ 30-47 ปี ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นลูกของคนยุคเบบี้บูม อย่างฮิลลารี ถ้าโอบามาหวังจะประสบความสำเร็จ เขาจะต้องพึ่งเสียงสนับสนุนส่วนมากจากคนรุ่น X และนักวิเคราะห์ระบุว่า ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะใจคนอายุต่ำกว่า 30 ได้แล้ว ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็คือเจเนอเรชั่น Y หรือคนยุค "มิเลนเนียล" (Millennials) นั่นเอง สิ่งเหล่านี้ชี้ไปถึงความจริงที่ว่า วุฒิสมาชิกผิวสีจากมลรัฐอิลลินอยส์ หยิบยกประเด็นเรื่องยุคที่เกิดมากกว่าเรื่องเชื้อชาติ "ทุกๆ ครั้งคนรุ่นใหม่ได้ก้าวเข้ามา และทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ วันนี้มีเสียงเรียกหาเราอีกครั้ง และถึงเวลาที่คนรุ่นเราจะตอบรับเสียงเรียกนั้น" โอบามากล่าวตอนประกาศตัวลงสมัครเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว จอห์น เดลลา วอลปี ผู้อำนวยการการจัดทำโพลของสถาบันการเมือง วิทยาลัยรัฐประศาสนศาสตร์จอห์นเอฟเคเนดี แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า การต่อสู้ดิ้นรนเรียกคะแนนของโอบามานั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับยุคที่เกิดเป็นส่วนมาก "ยิ่งคุณอายุสูงกว่า 40 ปีมากขึ้นเท่าไหร่ คุณมีแนวโน้มจะสนับสนุนฮิลลารี คลินตัน มากเท่านั้น" เขาบอกเอเอฟพี "การหาเสียงของฮิลลารีที่จะแก้ปัญหาต่างๆ เช่นเรื่องเศรษฐกิจหรือการรักษาพยาบาล ดังก้องในหมู่ผู้ลงคะแนนสูงวัยที่พยายามดิ้นรน เพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดี" "ฐานเสียงสนับสนุนของบารัคอยู่กับกลุ่มคน 'มิเลนเนียล' อย่างไม่มีข้อสงสัย...พวกเขาส่งพลังงาน เติมเชื้อเพลิง และแรงใจให้การหาเสียงของเขา" วอลปีกล่าว "พวกเขาเห็นว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในดาร์ฟูร์เป็นปัญหาด้านนโยบายต่างประเทศสำคัญที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากอิรัก และการก่อการร้าย วาระ และการคาดหวังทางการเมืองของคนกลุ่มนี้นั้นสอดคล้องกับของโอบามามาก" เขากล่าว กอร์ดิเนียร์ ซึ่งเขียนหนังสือ "X Saves the World" ระบุว่า "ในตอนแรกคนเจนเอ็กซ์ยังไม่สู้เต็มใจจะระดมพลสนับสนุนผู้สมัครคนใด แต่ในขณะเดียวกัน โอบามาก็มีบางอย่างที่ข้องเกี่ยวกับค่านิยมของคนเจเนอเรชั่น X "เขาไปเข้าร่วมการรณรงค์ต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ เขาเขียนข้อกังขาที่มีต่อประสิทธิภาพของการประท้วงในรูปแบบนั้น...เขาเปิดเผยความคลางแคลงใจออกมาตรงๆ นั่นคืออารมณ์ความรู้สึกของคนเจนเอ็กซ์" กอร์ดิเนียร์กล่าว อลิซาเบธ แบลกนีย์ นักเขียนวัย 35 จากมลรัฐออริกอน ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน เผยว่า เธอเริ่มเอนเอียงจะปันคะแนนให้โอบามามากขึ้นทุกที ในบล็อกบนอินเทอร์เน็ต แบลกนีย์สบประมาทคนรุ่นก่อนอย่างเปิดเผย ซึ่งเธอบอกว่า คนรุ่นก่อนได้ทิ้งโลกที่ไม่มีความมั่นคงปลอดภัยไว้ให้ และไม่สนใจอุดมคติเพราะหวังยึดติดอยู่กับอำนาจ "ศตวรรษที่ 21 มีปัญหาอย่างแท้จริง ปัญหาที่เกิดจากการจงใจละเลย และการหลงรูปตัวเองของคนยุคเบบี้บูม พวกเขาปล่อยให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่รวันดา ดาร์ฟูร์ แต่เราทำให้โลกมียูทูบ และกูเกิล"
กลยุทธ์บริหารผนึกยุทธศาสตร์องค์กร save textมติชน 2008-01-28 00:00:00 ไม่นานผ่านมา สถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดให้มีสัมมนาวิชาการเรื่อง "การบริหาร และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์"ซึ่งมี "อาจารย์วรภา ชัยเลิศวณิชกุล" ที่ปรึกษาอิสระด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นผู้บรรยาย ซึ่งเบื้องต้น "อาจารย์วรภา" ชี้ให้เห็นว่าความสำคัญของทุนมนุษย์นั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ และเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันนอกจากนั้น ความสำคัญของทุนมนุษย์ ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนา การสร้างขีดความสามารถ ทั้งนั้นเพราะทรัพยากรมนุษย์ "คน"ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เพราะ "คน" มีชีวิตจิตใจ มีสติปัญญา มีอารมณ์ และความรู้สึก ที่สามารถเรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะทางความคิดและการกระทำได้อยู่ตลอดเวลาที่สำคัญ "อาจารย์วรภา" ยังมองว่า บทบาทของทรัพยากรมนุษย์จะมีค่าสูงสุด ถ้าทรัพยากรมนุษย์มีศักยภาพ มีความสามารถ มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ และจะต้องมีพันธะผูกพันต่องาน และองค์กรทั้งยังจะต้องมีปัญญา สะสมความรู้ และเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่องด้วยเพราะ "ทุนมนุษย์" เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ขององค์กร และองค์กรที่ประสบความสำเร็จคือองค์กรที่สามารถสร้างคุณค่า (value creation) และดึงคุณค่า (value extraction) จากคน หรือทุนมนุษย์ออกมาได้ดังนั้น แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ หรือทุนมนุษย์ จึงต้องมองคนเป็นสินทรัพย์ (asset) ซึ่งจับต้องไม่ได้ ไม่มีค่าเสื่อมราคา และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อยู่เสมอผลเช่นนี้เอง จึงทำให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงต้องมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างความสำเร็จ และจะต้องมองเชิงกลยุทธ์ ปรับกระบวนทัศน์ โดยเน้นความสามารถในการทำงาน เน้นคนที่มีความรู้สึก และมีชีวิตจิตใจเพราะ "คน" คือต้นทุน คือทรัพยากร และเป็นปัจจัยในการสร้างผลสัมฤทธิ์ขององค์กร ดังนั้น ทุนมนุษย์จึงเป็นต้นทุนที่มีคุณภาพ มีคุณค่า และต้องได้รับการคัดสรร และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอหากต้นทุนน้อย ก็ต้องเติมเต็ม หรือทำให้มากเพียงพอ หรือหากต้นทุนมีจุดบกพร่องด้านคุณภาพ ก็ต้องพัฒนาแก้ไข หรือเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหรือหากต้นทุนมีลักษณะเสื่อม หรือพัฒนาไม่ขึ้น ก็ต้องหาทางปรับเปลี่ยน โยกย้าย เพิ่มทักษะ หรือผ่องถ่ายออกไป ผลเช่นนี้เอง จึงทำให้ "อาจารย์วรภา" มองว่า หากจะให้มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างผลสัมฤทธิ์ของแผนกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล กับผลสัมฤทธิ์ตามแผนยุทธศาสตร์ขององค์กร จึงต้องมีวิสัยทัศน์เชื่อมกับพันธกิจพันธกิจเชื่อมกับกลยุทธ์ แผนปฏิบัติ โดยในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับแผนยุทธศาสตร์องค์กร ซึ่งจะต้องใช้ balance scorecard เข้ามาช่วยขณะที่แผนกลยุทธ์ทรัพยากรบุคคล จะเกี่ยวข้อง HRM, HRD โดยเชื่อมโยงไปที่ผลสัมฤทธิ์ของบุคลากร ผลสัมฤทธิ์ขององค์กรซึ่งจะต้องใช้ HR scorecard เข้ามาช่วยเช่นกันทั้งนั้นเพื่อต้องการให้บทบาทของ HR ในอนาคตคือหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ (strategic partner)เพราะกลยุทธ์คือวิธีการ หรือแผนการที่คิดขึ้นอย่างรอบคอบ มีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน มีความยืดหยุ่น พลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ มุ่งหมายเพื่อเอาชนะคู่แข่ง หรือเพื่อหลบหลีกอุปสรรคต่างๆ จนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการที่สำคัญอีกอย่าง กลยุทธ์คือกลวิธี แนวทาง หรือทางเลือกอันชาญฉลาด ซึ่งผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบคอบและรอบด้าน เพื่อการบรรลุเป้าหมาย หรือผลที่คาดหวังในเรื่องต่างๆ เช่น ความเหนือกว่า ความอยู่รอด และการเปลี่ยนแปลงผลเช่นนี้เอง จึงทำให้ "อาจารย์วรภา" มองว่า บทบาทของ HRM เชิงกลยุทธ์ในปัจจุบันจึงต้องมีกลวิธี มีแนวทาง และมีทางเลือกอันชาญฉลาดในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะต้องผ่านการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ และรอบด้านทั้งนั้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ด้วยการสรรหา พัฒนา บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ ที่สำคัญ ยังจะทำให้ทรัพยากรมนุษย์มีความสามารถที่เหนือกว่า มีความครบถ้วนด้วยคุณภาพ และจะทำให้เกิดการเรียนรู้ และปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลง หรือยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์แต่กระนั้น "อาจารย์วรภา" ตั้งข้อสังเกตว่า การที่จะทำให้การบริหารงานบุคคลประสบความสำเร็จ หรือเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางแผน จะต้องเกี่ยวเนื่องกับการวางแผนกำลังคนด้วยซึ่งการวางแผนกำลังคน "อาจารย์วรภา" มองว่าคนในแต่ละยุค แต่ละช่วงอายุ จะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ต่างกันเพราะคนที่อยู่ในช่วง baby boomers หรือเกิดระหว่างปี 2489-2507 เขาจะมองโลกในแง่ดี ยึดความสำเร็จเป็นสำคัญ และคนเหล่านี้บางคนเริ่มเกษียณอายุในปี 2551 แต่กระนั้น คนรุ่นนี้ก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และให้คุณค่ากับงานมากกว่าชีวิตส่วนตัว ขณะที่คนที่อยู่ในช่วง generation X หรือเกิดระหว่างปี 2508-2519 เขาจะมุ่งเน้นความเจริญก้าวหน้าส่วนบุคคลมากว่าความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และเป็นคนที่ชอบท้าทายอำนาจรัฐ มีความเป็นตัวของตัวเอง มีทักษะการใช้เทคโนโลยีในการทำงานส่วนคนที่อยู่ในช่วง generation Y และ generation next หรือเกิดระหว่างปี 2520-2537 เขาจะเป็นคนทันสมัยด้านเทคโนโลยีกว่าคนรุ่นก่อนๆ และเน้นการทำงานเป็นกลุ่มผลเช่นนี้เอง จึงทำให้คุณลักษณะในการทำงาน ลักษณะการทำงาน และความพึงพอใจในการทำงาน จึงมีความต่างกันอาทิ คนที่อยู่ในช่วง baby boomers คุณลักษณะการทำงาน จะยึดมั่น ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย และจะให้ความสำคัญต่อผลลัพธ์ และชอบอนุรักษนิยม ในทางกลับกัน ลักษณะการทำงาน กลับชอบมีชีวิตเพื่อทำงาน สู้งาน และไม่ค่อยเปลี่ยนงาน มีความภักดีต่อองค์กรสูง อดทน ขณะเดียวกัน ก็ต้องการงานที่มีความมั่นคง เช่นเดียวกัน ความ พึงพอใจในการทำงาน คนในช่วง baby boomers กลับชอบงานที่อาศัยความเชี่ยวชาญ แต่จะต้องเป็นความเชี่ยวชาญในทางลึก ขณะที่คนที่อยู่ในช่วง generation X คุณลักษณะการทำงาน จะชอบเสี่ยง ยินดีรับ การเปลี่ยนแปลง ชอบเทคโนโลยี และให้ความสำคัญต่อสัมพันธภาพ และชอบใช้ชีวิตแบบยัปปี้ส่วนลักษณะการทำงาน จะทำงานเพื่อให้มีชีวิตสุขสบายตามใจตัวเอง ต้องการความยืดหยุ่นในชีวิต และทุ่มเทเมื่อเห็นว่างานท้าทาย แต่ก็ชอบเปลี่ยนงานบ่อยส่วนเรื่องความพึงพอใจในการทำงาน คนช่วงนี้จะชอบงานลักษณะที่หลากหลาย การทำงานเป็นก้าวหนึ่งของการก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่าและต้องการทราบมุมมอง และแง่คิดในการทำงานจากผู้อื่น แต่ก็ชอบผลตอบแทนสูงด้วยเช่นเดียวกัน สำหรับคน generation Y และ generation next คุณลักษณะการทำงานจะเป็นแบบฮิปฮอป ชอบต้องการทราบเหตุลผลว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ แต่มีความเป็นสากล ติดวิดีโอเกม และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงส่วนลักษณะการทำงาน สามารถปรับตัวเองเก่ง และมีความคิดริเริ่ม มีประสิทธิภาพใช้เทคโนโลยีเก่ง แต่ไม่มีความอดทน ไม่มีความผูกพันต่อองค์กร และไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อ ผู้อาวุโสขณะที่ความพึงพอใจในการทำงานสามารถบริหารจัดการตนเองได้ ชอบงานท้าทายและสนุกสนาน แต่ก็ต้องการเวลาในการพักผ่อนด้วย คุณสมบัติเหล่านี้ หากผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หรือผู้บริหารองค์กร สามารถเข้าใจ และมองเห็นว่า "คน" ในองค์กรของตน ต่างมีความหลากหลายในวิธีการบริหาร ก็จะมองเห็นเองว่า ในการบริหาร และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่ประการใดเพียงแต่ขอให้กล้าที่จะทำ และกล้าที่จะมองเห็น "คน" ขององค์กรตัวเองเป็นทรัพยากรมนุษย์จริงๆ ก็สามารถทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นเรื่องง่ายๆ และธรรมดาจนพบคำตอบเองว่า "คน" เป็น "ทุนมนุษย์" ที่สำคัญจริงๆ ?
วันจันทร์ 21 กรกฎาคม 2008 - 8:24
ค่ายมือถือเตือนมือใหม่'ไอโฟน'ใช้งานไม่ถูกต้อง จ่ายค่าบริการแพงลิ่วไม่รู้ตัว เผยเมืองไทยแห่หิ้วนำเข้ามาแล้วกว่าแสนเครื่องแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำตลาดในเมืองไทยแม้ว่า "ไอโฟน 3 จี" รุ่นใหม่ของแอปเปิลได้ออกสู่ตลาดแล้วเมื่อ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ด้วยยอดขายทะลุ 1 ล้านเครื่องทั่วโลกในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ แต่ในประเทศไทยยังไร้วี่แววของสัญญาณใดๆ จากแอปเปิลที่จะส่งไอโฟนเข้ามาบุกตลาด แต่ผู้บริโภคคนไทยก็รอคอยว่า "มาบุญครอง" จะมีเครื่องหิ้วเข้ามาทำตลาดเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกับไอโฟนรุ่นเดิม ที่ยังมีวางขายในราคา 22,000 บาท สำหรับรุ่น 8GBด้วยกระแสความแรงของไอโฟนตั้งแต่เวอร์ชั่นแรก ข้อมูลจากผู้ให้บริการมือถือระบุว่า ปัจจุบันมีไอโฟนเครื่องหิ้วทะลักเข้าสู่ประเทศไทยกว่าแสนเครื่องแล้ว โดยที่ผู้บริโภคไม่ได้สนใจความเสี่ยง ในกรณีที่ไม่มีศูนย์บริการ หรือการรับประกันสินค้า แต่ขณะนี้พบว่ามีปัญหาที่ผู้ใช้ไอโฟน "มือใหม่" ไม่คาดคิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนำไปสู่การเสียเงินโดยไม่จำเป็นได้ โดยขณะนี้พบว่ามีผู้ใช้เครื่องไอโฟนจำนวนไม่น้อยเจอปัญหาค่าบริการโทรศัพท์มือถือพุ่งพรวดพราด จากปกติประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นเป็น 7,000-8,000 บาท หรือบางคนก็ทะลุหลักหมื่นไปแบบไม่รู้ตัวจนเป็นสาเหตุให้โอเปอเรเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง "เอไอเอส" ต้องออกโรงเตือนผู้บริโภคว่า "จากกรณีที่ประชาชนได้เริ่มนิยมซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออุปกรณ์สื่อสารจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการทำการตลาดในไทย และผู้ใช้งานเองอาจยังไม่เข้าใจหรือเรียนรู้ในการใช้งานอย่างถูกต้อง ส่งผลให้เกิดปัญหาอัตราค่าใช้บริการข้อมูลผ่าน GPRS สูงขึ้นกว่าปกติจากการใช้งานที่ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะขณะใช้งานในต่างประเทศ บวกกับบางยี่ห้อถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการใช้งานดาต้า ลักษณะของ always on ซึ่งจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติเป็นอย่างมากหากผู้ใช้ไม่ได้มีการ disconnect อย่างถูกวิธี"จากที่ได้สอบถามเจ้าหน้าที่เทคนิคของเอไอเอส ได้แนะนำว่าเพื่อความมั่นใจอาจใช้วิธีกดปุ่ม reboot ของไอโฟนค้างไว้ 6 วินาทีก็ได้นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักการตลาดการสื่อสารไร้สาย จากเอไอเอส กล่าวว่า จากข้อมูลมีคนมาร้องเรียนที่บิลค่าใช้บริการสูงขึ้น จากการใช้จีพีอาร์เอส (GPRS) ไม่มาก โดยสาเหตุที่ค่าบริการสูงขึ้นเป็นเพราะบางคนลองใช้เพื่อโหลดโปรแกรมบางอย่าง แต่เนื่องจากผู้ใช้งานไม่ได้มีแพ็กเกจจีพีอาร์เอสรองรับ จึงทำให้ต้องคิดค่าบริการแบบ pay per use ซึ่งจะมีอัตราที่สูงกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะไอโฟน เพราะมือถือยี่ห้ออื่นๆ ก็มีปัญหานี้เช่นกันแต่อาจจะน้อยกว่า เนื่องจากไอโฟนมีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย กดง่าย และสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ใช้งานได้ทุกที่ ทำให้มีการใช้งานมากกว่าแบรนด์อื่นๆ โดยคาดว่าปัจจุบันมีผู้ใช้ไอโฟนในประเทศไทยกว่าแสนราย โดยจะพบว่าลูกค้าที่ใช้ไอโฟนจะเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการใช้งานดาต้า 50% และวอยซ์ 50% ขณะที่มือถือยี่ห้ออื่นจะมีการใช้ดาต้าประมาณ 30% เท่านั้น "ช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีลูกค้าบางส่วนยอดบิลสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ค่าบริการระดับพันถึงหมื่นบาท โดยบางคนเกิดจากการไม่ระวังการใช้งานทำให้ยอดบิลสูงขึ้น บางคนไม่ได้ซื้อแพ็กเกจจีพีอาร์เอส วิธีการแก้ปัญหาของเอไอเอส คือ จะโทร.ไปหาลูกค้าเพื่อเสนอแพ็กเกจจีพีอาร์เอสที่เหมาะสมให้แทน หรือถ้าผู้ใช้งานมีข้อสงสัยสามารถไปที่ฟิวเจอร์ เวิลด์ สยามพารากอน ให้เจ้าหน้าที่แนะนำเรื่องการใช้งานได้" โดยช่วง 6 เดือนแรก พบว่ามียอดการใช้จีพีอาร์เอสสูงขึ้น ทั้งจำนวนผู้ใช้บริการและปริมาณการใช้งาน โดยปริมาณทราฟฟิกการใช้จีพีอาร์เอสของเอไอเอสเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายใน 12 เดือน และมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 80% จากปัจจัยการโปรโมตโมบายอินเทอร์เน็ต และมือถือที่มีคุณสมบัติที่สนับสนุนการใช้งานดาต้ามากขึ้น ส่งผลให้การใช้งานจีพีอาร์เอสสูงขึ้นตาม ขณะที่นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มบริการเสริม แห่งค่ายดีแทค กล่าวว่า เนื่องจากเครื่องไอโฟนเองที่เขียนให้ใช้งานง่ายและฉลาด แอปพลิเคชั่นบนตัวเครื่องจะอัพเดตอัตโนมัติตลอดเวลา เช่น พยากรณ์อากาศ ราคาหุ้น ฟีดข่าวอัตโนมัติ โดยลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาดาวน์โหลด หรือติดตั้ง ทำให้สะดวกในการใช้งาน จึงทำให้มีการใช้งานจีพีอาร์เอสมากขึ้น ซึ่งรวมถึงมือถือหน้าจอทัชสกรีนยี่ห้ออื่นๆ ด้วยที่ถูกพัฒนาให้ใช้งานง่าย โดยปัจจุบันผู้ใช้จีพีอาร์เอสของดีแทคจะใช้งานเฉลี่ยคนละ 100 บาทต่อเดือน แต่ถ้าเป็นไอโฟนยอดใช้งานจะเพิ่มขึ้นเป็น 200-300 บาทต่อเดือน "กรณีปัญหาอัตราค่าใช้บริการดาต้าผ่าน GPRS สูงขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากใช้งานไม่ถูกวิธี ในส่วนของดีแทคเกิดขึ้นไม่มาก เพราะมีระบบล็อกป้องกันให้ลูกค้า โดยในส่วนลูกค้าพรีเพด มีการกำหนดเพดานค่าบริการสูงสุดไว้ที่ 100 บาท/วัน และแบบโพสต์เพด 3,000/เดือน คือไม่ว่าลูกค้าจะใช้บริการเกินกว่าที่แพ็กเกจกำหนดมากแค่ไหนค่าบริการจีพีอาร์เอสสูงสุดก็จะอยู่ที่ไม่เกิน 3,000 บาท"เพราะอดีตพบลูกค้าเกิดปัญหาจากการใช้แพ็กเกจจีพีอาร์เอสจำนวนมาก บริษัทจึงแก้ไขปัญหาด้วยการกำหนดเพดานค่าบริการสูงสุดไว้
วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
แต่งโดยพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี
รู้ไหมว่า...เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว) คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า "น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด" คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า บางทีคนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า "การกลับมาอยู่กับตัวเอง" กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับความรู้สึกแย่ๆ ไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน'' แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์ ปราชญ์จีนบอกว่า "ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขาแต่จงย้ายตัวเอง" ดังนั้นเราควรจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างในหรือจะย้ายภูเขาที่อยู่ข้างนอก?
วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
การขึ้นเอ็นไม้แบด
การขึ้นเอ็นไม้แบดให้ดีนั้น เทคนิคของผู้ขึ้นเอ็นและคุณภาพของเครื่องขึ้นเอ็นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนั้นแล้ว, การขึ้นเอ็นในระดับที่เหมาะสมต่อผู้ตีก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้ามได้ การขึ้นเอ็นไม้แบดอาจสามารถแบ่งออกเป็นระดับที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้:
การขึ้นเอ็นระดับต่ำ(ต่ำกว่า 20 ปอนด์ลงไป)การขึ้นเอ็นระดับนี้จะทำให้เอ็นค่อนข้างหย่อน เวลาที่ลูกกระทบกับเอ็นจะมีความรู้สึกเหมือนลูกหยุดกับที่อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง การขึ้นเอ็นระดับนี้ยังทำให้การควบคุมลูกเป็นไปได้ยาก ถ้าจุดที่ตีโดนลูกอยู่นอกสวีทสปอตเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าทิศทางที่ไม้ของคุณตีเมื่อเทียบกับทิศทางที่ลูกพุ่งออกไปจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การขึ้นเอ็นระดับต่ำมีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าคุณขึ้นด้วยเอ็นชนิดไหนก็รับประกันได้ว่าแรงสปริงจะดีแน่นอน การโยนลูกไปหลังคอร์ทหรือการวางลูกให้ลงหน้าเน็ตจะเป็นไปอย่างง่ายดาย แต่อย่าหวังเลยว่าตำแหน่งที่ลูกตกจะเป็นไปตามที่คิดเอาไว้ เพราะการขึ้นเอ็นระดับนี้นั้น ถ้าคุณตีลูกสองครั้งด้วยแรงและทิศทางเดียวกันก็ยังไม่แน่เลยว่าจุดตกของลูกจะเหมือนกัน ฉะนั้นแล้ว, ถ้าคุณขึ้นเอ็นต่ำกว่า 20 ปอนด์ก็จงจำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะใช้ไม้แบดที่เลิศหรูขนาดไหนก็มีค่าไม่ต่างไปกับไม้แบดถูก ๆ เลย
การขึ้นเอ็นระดับกลางต่ำ (20-23 ปอนด์)นักแบดมือสมัครเล่นทั่วไปมักเลือกที่จะขึ้นเอ็นในระดับกลางต่ำหรือระดับกลาง การขึ้นเอ็นในระดับนี้นั้น ผู้ตีจะรู้สึกว่าแรงสปริงของหน้าไม้ดี การควบคุมลูกก็ไม่เลว การวางลูกไปท้ายคอร์ทก็ไม่ยากเย็น อย่างไรก็ตาม, การขึ้นเอ็นระดับนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกว่าลูกหยุดนิ่งในตอนที่ลูกกระทบกับเอ็น ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับนักแบดที่ชอบเล่นบุก การบุกหมายถึงว่าต้องตีให้ลูกพุ่งไปอย่างรวดเร็ว การที่ลูกแบดหยุดนิ่งในขณะที่กระทบกับเอ็นจะส่งผลกระทบต่อการส่งถ่ายแรงไปสู่ลูกแบด ดังนั้นการขึ้นเอ็นระดับต่ำจึงทำให้อานุภาพในการโจมตีถดถอยลงไป
การขึ้นเอ็นระดับกลาง (23-25ปอนด์)การขึ้นเอ็นระดับนี้จะทำให้คุณสมบัติพิเศษของไม้แบดและเอ็นแบดส่งผลออกมาอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณขึ้นด้วยเอ็น68TI, คุณจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงแรงสปริงอันยอดเยี่ยม หรือถ้าคุณขึ้นด้วยเอ็น65TI, เวลาที่คุณตีลูกก็จะรู้สึกได้ถึงความแข็งของมัน การขึ้นเอ็นในระดับต่ำจะเหมือนการใช้สหวิง “เหวี่ยง” ลูกแบดกลับไป แต่การขึ้นเอ็นในระดับกลางขึ้นไปจะทำให้คุณเริ่มจับความรู้สึกได้ว่าลูกแบด “เด้ง” เมื่อกระทบกับเอ็น
การขึ้นเอ็นระดับกลางสูง(25-27ปอนด์)แม้คุณจะไม่เคยตีด้วยไม้แบดที่ขึ้นในระดับนี้มาก่อน แต่เมื่อคุณได้ลองตีก็จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งเป็นพิเศษของหน้าไม้ นอกจากนี้แรงสปริงจากเอ็นก็จะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด การใช้ไม้ที่ขึ้นระดับนี้จะทำให้ผู้ตีรู้สึกได้ว่าการควบคุมทิศทางของลูกทำได้ดีขึ้น ใช้แรงตีลูกแบดออกไปแค่ไหน, ลูกแบดก็จะลอยไปไกลเท่ากับแรงที่เราตีออกไป นอกจากนี้ยังทำให้การเล่นลูกหยอดหน้าเน็ตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการขึ้นเอ็นระดับนี้จะทำให้แรงสปริงของหน้าไม้ค่อนข้างต่ำ เราจึงสามารถกะได้อย่างแม่นยำถึงแรงที่จะใช้ตีลูก พูดง่าย ๆ ว่าถ้าคุณตีพลาดขึ้นมา คุณก็จะบอกได้ทันทีว่าที่คุณพลาดเป็นเพราะคุณตีแรงเกินไปหรือตีเบาเกินไป
การขึ้นเอ็นระดับสูง (28ปอนด์ขึ้นไป)ทำไมนักแบดระดับโลกถึงเลือกที่จะขึ้นเอ็นในระดับสูง? ตอบได้ง่าย ๆ เลยว่าเพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมลูกน่ะสิ! การขึ้นเอ็นระดับสูงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความแข็งของหน้าไม้ เมื่อลูกแบดกระทบกับเอ็น, การสะท้อนกลับไปของลูกแบดก็แทบไม่ต่างจากแสงที่สะท้อนจากกระจกเงาเลย นอกจากนั้นการควบคุมแรงตีก็จะทำได้ดีขึ้นด้วย เมื่อขึ้นเอ็นระดับสูงจะทำให้หน้าไม้เด้งน้อยลง นั่นจึงหมายความว่าถ้าคุณใช้แรงตีออกไปเท่าใด ลูกก็จะลอยไปเท่ากับแรงที่คุณตีออกไปอย่างไรก็ตาม, การตีด้วยไม้แบดที่ขึ้นเอ็นระดับสูงไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นคุณต้องมีพละกำลังเพียงพอเสียก่อน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องมีกล้ามเป็นมัด ๆ แต่หมายความว่าคุณจะต้องมีแรง “จุดระเบิด” พร้อมกับข้อมือที่ทรงพลัง ลองดูตัวอย่างจากนักแบดหญิงทีมชาติจีนดูก็ได้ ดูแล้วพวกเธอก็ไม่เห็นจะบึกซักเท่าไหร่ พูดง่าย ๆ ว่าในหมู่พวกเรานักแบดสมัครเล่นบางคนยังดูแข็งแรงกว่าพวกเธอเลย แต่สิ่งที่พวกเธอมีเหนือกว่าพวกเราก็คือแรงของข้อมือและแรงปะทุฉับพลัน นอกจากนั้นยังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ถูกต้องเพื่อช่วยเสริมแรงตีอีกด้วย
เมื่อทราบถึงระดับต่าง ๆ ของการขึ้นเอ็นไม้แบดแล้ว เราก็ต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของตัวเราเองว่าเหมาะกับการขึ้นเอ็นในระดับไหน นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าไม้แบดของเราสามารถขึ้นเอ็นในระดับนั้นได้หรือไม่ ไม้แบดยี่ห้อดัง ๆ ทั้งหลายจะมีป้ายบอกถึงระดับสูงสุดที่ไม้แบดนั้น ๆ จะขึ้นเอ็นได้ ถ้าคุณขึ้นเอ็นสูงกว่าระดับที่ระบุเอาไว้ก็จะเสี่ยงต่อการที่ไม้แบดจะพังได้ นอกจากนี้การขึ้นเอ็นตึง ๆ จะทำให้โอกาสที่เอ็นขาดมีมากขึ้น ก่อนขึ้นเอ็นก็คิดถึงเงินในกระเป๋าสตางค์ของตัวเองด้วยก็แล้วกันแปลและเรียบเรียงจาก: http://encyc.sports.cn/topic/yuqiu/jzs/2005-08-05/637654.html
ความลับของ Googleหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตคงจะไม่อาจมองข้ามเสิร์ชเอนจิน ที่มีชื่อว่า Google ไปได้ แต่ผู้ใช้ส่วน ใหญ่มักจะรู้จักเสิร์ชเอนจินตัวนี้เพียงแค่ผิวเผิน เท่านั้น CHIP จะแสดงให้คุณเห็นถึงอีกด้านหนึ่ง ของ Google ที่คุณไม่เคยรู้จัก ในยุคที่เศรษฐกิจทรุดตัวลงเป็นผลให้ภาคธุรกิจหลายต่อหลายรายต้องพลิกผันจากจุดสูงสุดมาเข้าสู่ช่วงวิกฤติของการเอาตัวรอดในช่วงมรสุมดังกล่าว แต่หนึ่งในไม่กี่รายที่ไม่ประสบ ปัญหาดังกล่าวได้แก่ Google จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงแค่โปรเจ็กต์เล็กๆ ในมหาวิทยาลัยเมื่อ 5 ปีก่อน ปัจจุบัน Google กลายเป็นเสิร์ชเอนจินที่ได้ รับความนิยมสูงสุดชนิดที่เรียกว่าทิ้งคู่แข่งแบบห่างชั้น จากการยืนยันของ Nielsen Netratings โดยใช้การสำรวจจากหน้าอินเทอร์เน็ตที่มีความสำคัญสูงสุด 5 อันดับแรก เฉพาะในประเทศเยอรมนีประเทศเดียวก็มีผู้ใช้บริการ Google ถึง 14 ล้านคนต่อวัน เคล็ดลับเด็ดๆ สำหรับ Google แทบจะไม่มีใครที่ใช้งาน Google ได้อย่างเต็มความสามารถ เช่น ความสามารถในการค้นหาที่ละเอียดยิ่งขึ้นโดยการกำหนดตัวแปรต่างๆ ในการค้นหา ยิ่งไปกว่านั้นคือ Google สามารถแปลหน้าเว็บไซต์ได้ แสดงราคาหุ้นได้ และยังสามารถคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ได้อีกด้วย หน้าเว็บไซต์ที่ดูเรียบง่ายของ Google อาจ จะทำให้คุณคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังหน้าดังกล่าวมี ฟังก์ชันที่ถูกซ่อนเอาไว้มากมายเพียงใด
ค้นหาโดยระบุคำสั่งพิเศษ คุณอาจเคยพบเห็นอยู่บ่อยๆ ว่า ในการค้นหาข้อมูลทั่วไปมักจะมีรายการของผลการค้นหาที่ไม่มีประโยชน์ติดมาด้วยเสมอ ซึ่งคุณสามารถที่จะลดจำนวนข้อมูลที่พบได้โดยใช้การค้นหาแบบ Advanced Search (ค้นหาแบบละเอียด) เพื่อบอก ให้ Google จำกัดขอบเขตการค้นหาให้เหลือเฉพาะหน้าเว็บไซต์ที่ผ่านการตรวจสอบจาก Google ในช่วง 3 เดือน, 6 เดือน หรือ 12 เดือน ที่ผ่านมาเท่านั้น นอกจากนี้แล้วคุณยังกำหนดรูปแบบเอกสารของผลการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงได้อีกด้วย เช่น ต้องการผลเป็นไฟล์ PDF หรือไฟล์ในรูปแบบของ Office และจำกัดการค้นหาหน้าให้อยู่ในประเภทของเว็บไซต์หรือโดเมนที่ต้องการเท่านั้นได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารตรวจสอบ ชนิดของไฟล์ที่ Google สามารถค้นหาให้ได้ที่หน้าเว็บไซต์
www.google.com/help/faq_filetypes.html หรือคุณต้องการให้ Google ช่วยค้นหาสิ่งที่คุณต้องการเป็นพิเศษ ดังเช่น รูปภาพต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน • ค้นด้วยคำที่มีความหมายเหมือนกัน บ่อยครั้งที่คำจำกัดความตัวหนึ่งจะให้ผลการค้นหาที่ดีกว่าคำอีกคำหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความหมาย ของคำทั้งสองนั้นเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่ไม่ จำเป็นที่คุณจะต้องมานั่งปวดหัวเพื่อคิดหาศัพท์ คำอื่นมาทดแทนคำที่คุณต้องการ เพราะคุณสามารถปล่อยให้ Google ช่วยคิดแทนคุณได้ โดยให้คุณใส่เครื่องหมาย Tilde (~) หน้าคำที่ต้องการ ค้นหาโดยไม่ต้องเว้นวรรค Google จะค้นหาคำ Synonym ของคำที่คุณค้นหาให้ด้วย• ใช้ Google ช่วยแปล แม้ว่า Google จะไม่สามารถทำลายกำแพงในเรื่องของข้อจำกัดด้านภาษาได้ แต่ก็สามารถช่วยให้คุณทำงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ให้คุณคลิกที่ Language Tools (เครื่องมือเกี่ยวกับภาษา) ที่หน้า แรกของ Google เพื่อเปิดการทำงานของตัวแปล ภาษา ซึ่งคุณสามารถพิมพ์ข้อความเข้าไปเพื่อให้ Google แปลข้อความดังกล่าวให้คุณได้หลากหลายภาษาด้วยกัน เช่น แปลจากภาษาเยอรมนี เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส หรือแปลข้อความจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาสเปน, โปรตุเกสหรือภาษาอิตาลี และอีกหลายภาษา แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีบริการสำหรับแปลภาษาไทย ความสามารถที่ยังโดดเด่นไปกว่านั้นก็คือ Google สามารถแปลเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าได้ โดยคุณสามารถใส่ชื่อ URL ที่คุณต้อง การให้ Google แปลลงในกรอบ Translate the Website ในหน้าของ Language Tools หรือคลิกที่ลิงก์ Translate this Website ของหน้าเว็บไซต์ที่ Google ได้ค้นหาออกมาแล้ว Google จะใช้โปรแกรมในการแปลออกมา ซึ่งบ่อยครั้งที่ข้อความที่แปลออกมาจะฟังดูตลกหรือฟังไม่รื่นหูไปxxxง แต่หากคุณต้องการผลการแปลที่ดีกว่านี้ควรเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือที่เรียกว่า BabelfishŽ (http://babelfish.altavista.com) แทน ซึ่งตัวแปลภาษา Altavista ตัวนี้ใช้โปรแกรมในการแปลของ Systran ที่ค่อนข้างใหม่กว่าของ Google และมีประสิทธิภาพในการแปลที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ข้อดีอีกข้อหนึ่งก็คือ Babelfish สามารถเข้าใจได้ หลายภาษามากกว่า Google และสามารถแปล ภาษาญี่ปุ่น, เกาหลีและจีนไปเป็นภาษาอังกฤษ ได้อีกด้วย
• ค้นหาเฉพาะกลุ่ม โดยแท้จริงแล้วต้องถือว่าประสิทธิภาพของ เสิร์ชเอนจินทั่วไปไม่ดีเท่าที่ควรเพราะข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับคำที่คุณค้นหาจะถูกรวบรวมเข้า ไว้ด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะมากเกินความจำเป็นและไม่เกี่ยวข้องกับที่คุณต้องการ วิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้คือค้นหาคำที่ต้องการโดยกำหนด ขอบเขตของหัวข้อเรื่องดังกล่าว ซึ่งจะทำให้การค้นหาถูกจำกัดวงให้แคบลง โดย Google ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ในส่วนที่เรียกว่า Special Google Searches ซึ่งในขณะนี้มีหัวข้อให้เลือกใน การค้นหาอยู่ 6 หัวข้อ ดังเช่น การค้นหาจากหน้าเว็บไซต์ของ US (เว็บไซต์ที่มีโดเมนเป็น .us, .gov และ .mil) หรือการค้นหาเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวกับไมโครซอฟท์ ลินุกซ์ ยูนิกซ์ หรือแอปเปิลก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน นอกเหนือไปจากนั้นยังมี University Search ที่ ช่วยค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับสถานศึกษาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกว่า 1,000 หน้าเว็บไซต์ให้เลือก การค้นหาโดยใช้ Special Google Searches ดังกล่าวนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้คุณได้เป็นอย่างมาก เช่น หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับ DVD Writer สำหรับเครื่อง Apple แล้วคุณก็สามารถพิมพ์คำว่า Apple DVD Writer ลงไปแล้วทำการค้นหา ตามปกติคุณจะได้รับลิสต์รายการแสดงผลการค้นหากว่า 41,000 หน้าซึ่งประกอบด้วยหน้าเว็บไซต์โฆษณาขายสินค้าดังกล่าวนับไม่ถ้วน แต่หากคุณใช้การค้นหาผ่าน Special Google Searches โดยใช้เพียงคำว่า DVD-Writer ในกลุ่มของแอปเปิลคุณจะได้ ผลการค้นหาเพียง 1,500 หน้าเท่านั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยข่าวคราวความเคลื่อนไหว ทิป ผลการทดสอบ รวมไปถึงส่วนแบ่งตลาด เท่านั้นคุณสามารถใช้บริการ Special Google Searches ได้ตามลิงก์ www.google.com/options/special searches.html
• Google Toolbar Google Toolbar เป็นปลั๊กอินตัวหนึ่งสำหรับเว็บบราวเซอร์ซึ่งจะช่วยให้สามารถใช้งาน Google ได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่หน้าโฮมเพจของ Google ก่อน ปัจจุบัน Google Toolbar ถูกพัฒนา ขึ้นมาถึงเวอร์ชันที่ 2 แล้ว ข้อดีของ Google Toolbar คือความสามารถพิเศษในการแสดงระดับความนิยม (Page Rank) ของหน้าอินเทอร์เน็ตหน้าต่างๆ ที่คุณกำลังเปิดใช้งานอยู่ในขณะ นั้นหรือหากคุณไม่ต้องการก็สามารถติดตั้งทูลบาร์ดังกล่าวโดยไม่ติดตั้ง Page Rank Bar ลงไปด้วยก็ได้ ซึ่งทูลบาร์ที่ว่านี้สามารถทำงานได้เฉพาะใน Internet Explorer 5.0 ขึ้นไปเท่านั้น แต่ หากคุณใช้ Netscape หรือ Internet Explorer เวอร์ชันก่อนหน้านี้คุณก็สามารถติดตั้ง Browser Button ของ Google ซึ่งจะมีฟังก์ชันบางตัวของ Google Toolbar อยู่เข้าไปในบราวเซอร์เพื่อใช้แทน ได้ (www.google.com/options/buttons.html) และพิเศษสำหรับผู้ใช้เว็บบราวเซอร์ Mozilla โดยเฉพาะ ในหน้าอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ http://google/ barl10n.mozdev.org/installation.
• ใช้ Google ช่วยในการคำนวณ นอกเหนือจากเป็นเสิร์ชเอนจินแล้ว Google ยังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของเครื่องคิดเลขที่คุณเคยใช้งานอีกด้วย สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ คือ ฟังก์ชันในการคำนวณของ Google จะช่วยในการค้นหาผลลัพธ์ของสมการทางคณิตศาสตร์ให้ด้วย หากคุณพิมพ์โจทย์ปัญหา เช่น 365+12*8 ลงในช่องสำหรับการป้อนข้อมูลการค้นหาตามปกติแล้วเริ่มทำการค้นหาคุณจะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 461 แทนที่จะได้รายการแสดงหน้าอินเทอร์เน็ตที่ค้นพบ นอกจากสมการง่ายๆ ดังกล่าว Google ยังสามารถคำนวณสมการที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นได้อีกด้วย เช่น การพิมพ์คำ ว่า sqr จะเป็นการคำนวณค่ารากที่สองของเลขที่อยู่ถัดมา หรือเมื่อคุณต้องการคำนวณค่า 252 (25 ยกกำลัง 2) ก็สามารถทำได้โดยพิมพ์ว่า 25^2 ลงไป แม้กระทั่งฟังก์ชันตรีโกณมิติก็สามารถคำนวณได้โดยใช้ตัวย่อ sin, cos และ tan หรือการคำนวณฟังก์ชันลอกการิทึมโดยใช้เครื่องหมาย ln, lg และ lb ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติและความสามารถของ Google Calculator นี้คุณสามารถดู ได้ที่หน้า www.google.com/help/calculator.html นอกจากนี้แล้วการได้ลองเล่นเองก็น่าสนุกอยู่ไม่น้อย ดังเช่นที่ทีมงานได้ค้นพบบางสิ่งที่ ยังไม่ได้มีการบันทึกไว้ในหน้าเว็บไซต์ดังกล่าว คือ Google รู้จักค่าคงที่ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์หลายต่อหลายตัว เช่น ค่าพาย (ฆ), ค่าความเร็วแสง (c), ค่าความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงโลก (G) และอื่นๆ อีกมาก หากคุณใส่สัญลักษณ์สากลของค่าคงที่ลงไป Google จะแสดงค่าดังกล่าวออกมาเป็นตัวเลข แต่คุณก็สามารถใช้ค่าคงที่ในสมการต่างๆ ได้เช่นกัน นอกเหนือไปจากการคำนวณที่ยุ่งยากซับซ้อน Google ก็สามารถแสดงการคำนวณพื้นฐาน ในเรื่องการเปลี่ยนหน่วยให้คุณได้ เช่น เปลี่ยนหน่วยไมล์ (Miles) หรือนิ้ว (Inches) เป็นกิโลเมตร, เมตรหรือเซนติเมตร หรือเปลี่ยนจากแคลอรีเป็นกิโลจูล หรือจากกิโลกรัมเป็นปอนด์ก็ได้เช่นเดียวกัน เพียงแค่คุณพิมพ์ง่ายๆ ดังเช่นว่า "25 miles in kilometer" หรือ "50 pounds in kilogram" ซึ่งการคำนวณดังที่กล่าวมาแล้วนี้สามารถทำ ได้ในหน้าเว็บไซต์ของ Google ทุกๆ หน้า เพียงแต่คุณต้องพิมพ์ข้อความทั้งหมดในรูปแบบของภาษาอังกฤษ • ชอปปิ้งด้วย Google : Froogle Google มีบริการพิเศษสำหรับนักชอปออนไลน์โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกบริการนี้กันว่า Froogle ซึ่งเป็นการนำคำว่า Google มาผสมกับคำว่า FrugalŽ ซึ่งแปลว่าประหยัด โดยเครือข่ายของ Froogle จะมีความสามารถในการค้นหาสินค้าต่างๆ ในร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ (http://froogle.goo gle.com) การค้นหาสามารถทำได้โดยใส่ชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการโดยตรง (เช่น "Panasonic DVD S75") หรือหากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ชัดลงไป ก็สามารถดูไปเรื่อยๆ และทำการค้นหาใน แคตาล็อกของแต่ละกลุ่มสินค้า เช่น "Art & Entertainment", "Home & Garden" หรือ "Toys & Games" และคุณสามารถเรียงผลการค้นหาที่ได้จากทั้งสองวิธีนี้ตามราคา หรือเรียงเว็บไซต์ตามจำนวนสินค้าที่เสนอ แต่ปัจจุบัน Froogle ยังคงอยู่เพียงแค่ช่วงเวอร์ชัน Beta ของการพัฒนาเท่านั้น อีกทั้งยังมีเฉพาะเวอร์ชันภาษาอังกฤษเท่านั้น ยกเว้นผลการค้นหาที่เป็นสากลนั่น คือ Froogle สามารถหาหน้าเว็บไซต์ที่ให้บริการดังกล่าวได้ทั่วโลกเหมือนการ Search ทั่วไป
• ตรวจสอบราคาหุ้น Google.com สามารถแสดงให้คุณทราบถึงสถานภาพของหุ้นต่างๆ ที่คุณต้องการทราบได้ โดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือ หุ้นของบริษัทดังกล่าวต้อง อยู่ในตลาดหุ้นของอเมริกาวิธีการก็คือ ให้คุณใส่ชื่อของบริษัทที่คุณต้องการสำรวจราคาหุ้นลงในช่องสำหรับป้อนข้อมูลการค้นหา เช่น หากคุณพิมพ์คำว่า Microsoft ลงไป Google จะแสดงที่บรรทัดสุดท้ายของผลการค้นหาว่า "Stock Quotes: MSFT" เมื่อคุณคลิกที่บรรทัดดังกล่าว จะเป็นการนำคุณไปสู่หน้า Yahoo Finance Site ซึ่งมีข้อมูลหุ้นขณะปัจจุบันของไมโครซอฟท์แสดงอยู่ หรือในกรณีที่คุณรู้ชื่อย่อของแต่ละบริษัท (เช่น Microsoft ใช้ MSFT) ก็เพียงพอเพราะคุณสามารถเลือกที่สัญลักษณ์ "Stock Quote" ซึ่งอยู่บริเวณด้านบนของรายการต่างๆ ได้โดยตรง เพื่อนำคุณเข้าไปสู่หน้า Yahoo-Finance ได้เช่นเดียวกัน
• คำตอบจาก Google มีไม่กี่ครั้งที่ Google ไม่สามารถค้นหาข้อมูลให้คุณได้ตามต้องการ แต่บ่อยครั้งที่ข้อมูลที่ได้ ไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของคุณ นั่นก็เพราะว่า Google เป็นเพียงแค่เครื่องจักรธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าข้อมูลใดคือ ข้อมูลที่คุณต้องการ ดังนั้นจึงได้มีการออกแบบเครื่องจักรมีชีวิตขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิด ขึ้น ซึ่งถูกเรียกว่า Human Search Machine โดยคุณสามารถใช้บริการนี้ได้ที่หน้า http://answers./ google.com ซึ่งมีวิธีดำเนินการคือ หากคุณมีคำถามซึ่งคุณพร้อมที่จะจ่ายเงินเป็นค่าคำตอบตั้งแต่ 2 ถึง 200 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาแล้ว ให้เรียบเรียงคำถามของคุณและรอให้ Google หาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถตอบคำถามของคุณได้ เมื่อคุณได้รับคำตอบคุณก็จะถูกเก็บเงินตามราคาที่คุณได้ตั้งเอาไว้ ในการใช้บริการดังกล่าว จำเป็นที่คุณจะต้องลงทะเบียนด้วยอีเมล์ของคุณ ส่วนการจ่ายค่าบริการจะต้องจ่ายผ่านทางบัตรเครดิต จุดเด่นของบริการนี้คือคำถามทั้งหมดที่ถูกตอบไปเรียบร้อยแล้วจะถูกเก็บเอาไว้ ซึ่งสมาชิกที่ลงทะเบียนทั้งหมดจะสามารถดูคำตอบเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสียเงินซ้ำอีก ถ้าคุณโชคดีอาจจะมีคำตอบอื่นที่คุณต้องการรวมอยู่ในนั้นด้วยก็ได้
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
ทำเลเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการค้าขาย ถ้าใครได้ทำเลที่ดีมักมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับความจริงก็คือ “ทำเลทอง” มักจะหายากยิ่งกว่าเพชร
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : Byline : กฤษณนัยย์ พิรยารังสรรค์
“ทำเล” ที่ดี ต้องดู “ชี่” เป็นส่วนประกอบ “ชี่” ของทำเลทอง ต้องเป็นพลัง “หยาง” เท่านั้น คือเป็นพลังที่เคลื่อนไหว ยิ่งเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ ยิ่งดีมากเท่านั้น
สังเกตดูสิครับ ทำไม “สำเพ็ง” ถึงเป็นย่านทำเลทองอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย นอกจากจะเป็นที่ที่ มีผู้คนมาเดินชอปปิงเลือกซื้อสินค้ามากมาย ขายทั้งปลีกทั้งส่ง รถราก็ติดขัด มีทั้งรถมีทั้งคน “เคลื่อนที่” ไม่หยุด ดูจอแจ วอแว วอกแวกทั้งวัน นี่เป็นตัวอย่างของ “ชี่” ที่เคลื่อนไหว ที่เราสามารถเห็นด้วยตาเปล่า
แต่สำเพ็งมี “ชี่” อีกอย่างที่เราไม่ค่อยได้สังเกตเห็น นั่นคือ “ชี่” จากแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ใกล้ๆ “พลังน้ำ” จากแม่น้ำทำหน้าที่หล่อเลี้ยงการค้าและธุรกิจในย่านนั้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอีกกี่สิบหรืออีกกี่ร้อยปี “สำเพ็ง” ก็ยังคงเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญของประเทศ ยกเว้นแต่แม่น้ำเจ้าพระยาจะเปลี่ยนกระแส หรือเหือดแห้งลงไป
แล้วคุณละครับ ถ้าจะสมัครเป็นพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ ลองมองเรื่อง “ทำเล” ไว้บ้างหรือยัง ถ้ายัง เดี๋ยวผมขออาสาแนะนำเรื่องทำเล มาให้ “คิด” ดูเล่นๆ ดูแล้วกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องทำเล ผมมักจะยกตัวอย่างเรื่องความสำเร็จของคุณตันกับ “ชาเขียว โออิชิ” มาให้ฟังกัน
ตอนที่คุณตันเปิดตัวชาเขียวที่มีชื่อว่า “โออิชิ” ตอนนั้นในตลาดมีชาเขียวอยู่ยี่ห้อหนึ่ง เปิดตัวมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
คุณตันเป็นอีกหนึ่งท่านที่ไม่เชื่อสุภาษิตนักเลง ที่เขาว่า “ใส่ก่อนได้เปรียบ” แต่แกกลับเชื่อสุภาษิตแก้เกี้ยวอีกอย่างว่า “มาที่หลังจะดังกว่า”
เมื่อคุณตันเชื่ออย่างนี้แล้ว แกมีวิธีหรือเคล็ดลับอย่างไร ที่จะนำพาชาเขียวโออิชิขึ้นบันไดแห่งความสำเร็จได้
แม้ว่าคุณตันจะไม่เคยเฉลยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่แกเคยหลุดปากสัมภาษณ์มาว่า “ผง (ผม) อยากจะขอบคุณแม่ค้าพ่อค้าที่จตุจักรจริงๆ เป็นผู้มีอุปการคุณ ทำให้ชาเขียวโออิชิประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้”
จับจากคำพูดคุณตัน ทำให้เราพอรู้ได้ว่า “ตลาดนัดจตุจักร” เป็น “ทำเล” แห่งความสำเร็จของชาเขียวโออิชิ
จริงๆ แล้วถ้าคุณตันคิดเรื่องทำเลขายชาเขียวเหมือนคนอื่นทั่วไป แกน่าจะมองว่า ถ้าจะเริ่มขายชาเขียวต้องเริ่มที่ร้านสะดวกซื้อ หรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป แล้วลูกค้าก็จะเดินมาหยิบไปลองชิม เมื่อชิมแล้วชอบก็จะบอกต่อๆ กันไป
แทนที่จะเดินขึ้นบันไดเหมือนชาวบ้านชาวช่อง คุณตันเลือกที่จะใช้ “ลิฟต์”
อย่างแรกคุณตันมองก่อนว่า ที่ไหนที่มีคนหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา (ชี่เคลื่อนไหว) ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างเพศต่างวัย ฐานะที่หลากหลายรวยยันจน
ทั้งหลายทั้งปวงเป้าเลยไปตกอยู่ที่ “สวนจตุจักร”
อย่างที่สอง คุณตันแกทำตามความต้องการของลูกค้าใน “ทำเล” ได้อย่างไม่ต้องสงสัย สวนจตุจักรเป็นที่ที่ “ร้อน” มากแห่งหนึ่งของประเทศ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนเดินสวนจตุจักรต้องการก็คือ “น้ำ”
คุณตันตอบโจทย์ข้อนี้ “ผ่าน” ได้เอเลย แกมองว่าถ้าเป็นน้ำต้องเป็นน้ำที่เย็น และถ้าน้ำเย็นต้องทำให้ดูน่าดื่ม คุณตันเลยเอากล่องโฟมใส่น้ำแข็งและแช่ชาเขียวใส่ไว้
ใครที่เดินอยู่ร้อนๆ แล้วกระหายน้ำ ไม่เสียเงินซื้อชาเขียวโออิชิดื่มให้มันรู้ไป
วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
เผยผลสำรวจระดับโลกระบุ "ธุรกิจไทย" ให้ความสำคัญกับการรับสมัครงานและการดูแลพนักงานไม่เพียงพอ ความท้าทายใน
การรับสมัครงานและการดูแลพนักงานยังคงเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ จากการสำรวจรายงานธุรกิจนานาชาติ (IBR) ประจำปี 2008 โดย
"แกรนท์ ธอร์นตัน" พบว่า 59% ของธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญในการรับสมัครงานและดูแลพนักงานมากกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับ
"ธุรกิจไทย" อยู่ในอันดับที่ 31 ด้วยอัตราส่วนที่ 53% ล้าหลังประเทศเศรษฐกิจขาขึ้นที่กำลังเติบโตแห่งเอเชีย เช่น เวียดนาม และ
จีน ซึ่งอยู่ในอันดับ 1 และ 2 ที่ 84% และ 81%
- พนักงานเก่าลงทุนน้อย เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
- ธุรกิจไทย เมินภักดีบริษัท
- ธุรกิจไทยเพิ่มค่าตอบแทนต่ำ
- CSR ช่องทางรักษาคนเก่ง
- มาตรการบริหาร เครื่องมือแก้วิกฤตพนักงาน
การสร้างตลาดใหม่ (Create uncontested market space)
ไม่ต้องใส่ใจการแข่งขัน (Make competition irrelevant)
สร้างและจับอุปทานใหม่ (Create & capture new demand)
สร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า (Create value innovation)
เน้นความแตกต่างและต้นทุนต่ำ ( Pursue of differentiation & low cost)